หลังภาวะวิกฤตของ COVID-19 และสงครามราคาอุบัติขึ้น ก็ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิ่งลงเหวไปในปี 2020 ก่อนที่ซูเปอร์ไซเคิลรอบใหม่จะพาราคาน้ำมันทะยานขึ้นมาในขณะนี้ พร้อมกับข้อกังขาที่ว่านี่อาจเป็นวัฏจักรใหญ่ครั้งสุดท้ายของมัน
จากความพยายามเปลี่ยนผ่านพลังงานฟอสซิลและการตอบสนองของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มุ่งมั่นจะแทนที่รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า กลายเป็นความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาน้ำมันและอาจแผ่ขยายออกไปจนเป็นผลกระทบภายนอก
นักวิจารณ์หลายคนและผู้เล่นระดับท็อปในตลาดน้ำมันอย่าง BP และ Shell ต่างเชื่อว่า จุดพีคของอุปสงค์น้ำทันทั่วโลกในปี 2019 ที่ระดับประมาณ 100 ล้านบาร์เรลต่อวันจะไม่มีวันกลับคืนมาอีกแล้ว หลังการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างจากภาวะวิกฤตของ COVID-19
มุมมองดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากการบริโภคน้ำมันสำหรับการขนส่งที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ หลังการยกเลิกเที่ยวบินต่าง ๆ ในเดือนมี.ค. 2020 ก่อนที่สถานการณ์จะกระเตื้องขึ้นจากการผ่อนผันมาตรการควบคุมการเดินทางในช่วงที่ผ่านมา
ท่ามกลางความหวังของการพัฒนาวัคซีนและมุมมองในด้านบวกจากการเปิดระบบเศรษฐกิจอีกครั้ง ได้กลายเป็นความคาดหวังในการฟื้นตัวของการบริโภคน้ำมัน แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเมื่อช่วงก่อนเกิดการระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส
ในขณะที่การเติบโตของพลเมืองชนชั้นกลางในจีนและอินเดียจะนำไปสู่ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของการเดินทาง ดังนั้นต่อให้เศรษฐกิจจะเติบโตไปอย่างเชื่องช้า แต่ผู้คนกลุ่มนั้นก็ยังน่าจะสามารถซื้อหารถยนต์เพื่อมาตอบสนองความต้องการในการเดินทางได้
และในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างจีนและอินเดีย การปรับเปลี่ยนไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าก็มีแนวโน้มที่จะเป็นไปอย่างเชื่องช้ากว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว จากความกังวลเกี่ยวกับจำนวนของสถานีชาร์จไฟที่ใช้รองรับยานพาหนะยุคใหม่
จากความต้องการน้ำมันที่กลับมาเพิ่มขึ้น และปริมาณของผลิตผลที่ลดลงจากการลงทุนที่ขาดหายไปในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ จึงมีแนวโน้มที่จะทำให้ซูเปอร์ไซเคิลของราคาน้ำมันจะยังคงอยู่ต่อไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง
อย่างไรก็ตามด้วยการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีบวกกับแรงสนับสนุนจากรัฐบาล ที่มาพร้อมความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ จะทำให้บริษัทรถยนต์ปรับเปลี่ยนการผลิตยานพาหนะแบบดั้งเดิมให้เป็นพลังงานไฟฟ้าในท้ายที่สุด
กระบวนการผลิตแบบเป็นจำนวนมากยังจะช่วยให้ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่น่าดึงดูดใจ บวกกับราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นก็ยิ่งจะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น และกลายเป็นความเสี่ยงต่อประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งพาน้ำมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะกลุ่มประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ในตะวันออกกลาง, เอเชียกลาง, อเมริกาใต้ และแอฟริกาที่ยังเป็นแหล่งสำคัญของการส่งเงิน, การจ้างงาน และอุปสงค์ภายนอกประเทศ ซึ่งหากยุคของน้ำมันสิ้นสุดลงก็จะกลายเป็นปัญหาที่ครอบคลุมไปถึงประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย
ประเทศเจ้าของบ่อน้ำมันรายใหญ่จึงต้องพยายามปรับตัวเพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้มากขึ้นในตลาดพลังงาน และการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจก็จะกลายเป็นภารกิจที่เร่งด่วนสำหรับรัฐบาลเหล่านั้น
References :
https://edition.cnn.com/2021/07/08/perspectives/imf-oil-industry/index.html