หลังเวลาล่วงเลยมานานนับเดือนกับการมองข้ามความขัดแย้งในสภาเกี่ยวกับประเด็นเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ล่าสุดจากปฏิกิริยาในตลาดก็ได้ชี้ให้เห็นถึงความคิดที่เริ่มผุดขึ้นมาในหัวของกลุ่มนักลงทุนเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากสหรัฐฯมีการผิดชำระหนี้
การจำกัดเพดานหนี้ของสหรัฐฯเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1917 ที่ระดับ $11.5 พันล้าน ก่อนจะจะขยับมาอยู่ที่ $28.5 ล้านล้านในปัจจุบันพร้อมกับแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีก เพราะหากนับตั้งแต่ปี 1960 สภาคองเกรสได้อนุมัติการเปลี่ยนแปลงเพดานหนี้มาแล้ว 78 ครั้ง
ความล้มเหลวในการระงับการจ่ายหนี้หรือขยับเพดานหนี้ขึ้นไปก็อาจนำไปสู่การผิดชำระหนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ โดยจะมีความหมายว่ารัฐบาลกลางไม่มีความสามารถในการจ่ายหนี้ และอาจจะทำให้เกิดผลอันเลวร้ายที่ตามมาแก่สภาพเศรษฐกิจ
หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2011 ก็เคยเกิดเหตุการณ์จวนเจียนจะผิดชำระหนี้ขึ้น แม้กลุ่มผู้ร่างกฎหมายจะสามารถปิดดีลทันเวลาได้ในท้ายที่สุด แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความผันผวนที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในตลาดหุ้นและการถูกลดระดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ
จากการประเมินล่าสุดของ Moody’s Analytics ระบุว่า สถานการณ์ผิดชำระหนี้ที่ยืดเยื้อจะส่งผลให้สหรัฐฯเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ด้วยตัวเลข GDP ที่ลดลงราว 4%, มีผู้ที่ตกงาน 6 ล้านคน และการเทขายหุ้นที่อาจทำให้ความมั่งคั่งของครัวเรือนสูญหายไป $15 ล้านล้าน
แม้แต่การผิดชำระหนี้ในระยะสั้นก็อาจเป็นภัยคุกคามต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ด้วยความปั่นป่วนในตลาดและความเชื่อมั่นที่ลดลง ในขณะที่การหยุดชะงักของการบริการและสาธารณูปโภคที่สำคัญก็จะเป็นตัวบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯและยากที่จะซ่อมแซม
แน่นอนว่าผลกระทบภายนอกที่ส่งต่อไปถึงเศรษฐกิจทั่วโลกก็จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะตราสารหนี้ของสหรัฐฯซึ่งควรจะเป็นสินทรัพย์ที่ปราศจากความเสี่ยง แต่หากเกิดการผิดชำระหนี้ขึ้นก็เหมือนกับการจุดระเบิดขึ้นตรงใจกลางระบบการเงินของโลก
หลักทรัพย์ที่ออกโดยรัฐบาลวอชิงตันถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่งมาโดยตลอด และถูกจัดให้เป็นสินทรัพย์ประเภทไร้ความเสี่ยงในตลาดการเงิน พวกมันยังถูกใช้เป็นหลักค้ำประกันในสัญญาทางการเงินจำนวนนับไม่ถ้วน
สำหรับผู้ที่เข้าซื้อทองคำเพื่อการลงทุน มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องรู้จักข้อมูลทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของการขับเคลื่อนราคาทองคำ ซึ่งหากเกิดการผิดนัดชำระหนี้ขึ้นก็ย่อมจะส่งผลกระทบต่อสถานะของโลหะมีค่า
ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบัน MKS PAMP GROUP ได้กล่าวไว้ว่า มีแรงระดับโครงสร้างและสหสัมพันธ์ที่สร้างแนวโน้มทิศทางสำหรับหนี้ของสหรัฐฯและราคาทองคำ แต่ราคาในระยะสั้นจะยังคงพึ่งพาความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เป็นหลัก
2 สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ หนี้ของสหรัฐฯกลายเป็นภาระที่ไม่แน่นอนและขยับขึ้นมาที่สัดส่วน 200% ของตัวเลข GDP ซึ่งจะกลายเป็นเหตุการณ์ที่ส่งเสริมราคาทองคำอย่างยิ่ง และจากแบบจำลองยังพบว่าราคาอาจพุ่งขึ้นไปจนถึง $4,070
ส่วนอีกสถานการณ์หนึ่งคือมีการขยับเพดานหนี้ขึ้นและอัตราส่วนหนี้ต่อ GDP ขยับลง ก็จะทำให้ราคาทองคำยังทรงตัวอยู่แถวบริเวณ $1,800 หรืออาจกล่าวได้ว่าราคาทองคำมีการขยับตัวตามเพดานหนี้ที่สูงขึ้นและแนวโน้มของหนี้ระยะสั้นในสหรัฐฯมาโดยตลอด
References :