ความเสี่ยงของการเกิด Stagflation ในจีนกำลังใกล้เคียงกับความเป็นจริงเพิ่มขึ้นภายในอีก 2-3 ไตรมาสถัดไป จากราคาต้นทุนในโรงงานที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วประกอบกับภาวะการขาดแคลนพลังงานที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
Stagflation คือภาวะที่เศรษฐกิจซบเซาอย่างต่อเนื่องแต่อัตราเงินเฟ้อกลับขยับตัวสูงขึ้น โดยปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นครั้งแรกในยุคปี 1970 เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของราคาน้ำมัน และมีช่วงเวลาขาขึ้นที่ยืดยาวออกไปจนส่งผลต่อการลดลงของ GDP อย่างฮวบฮาบ
ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของจีนในเดือนก.ย.พุ่งขึ้นถึง 10.7% เมื่อเทียบกับ 1 ปีก่อน และเป็นอัตราที่สูงขึ้นรวดเร็วสุดนับตั้งแต่ที่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลในปี 1966 ในขณะเดียวกันปัญหาการถูกตัดไฟทั่วประเทศก็ส่งผลให้ธนาคารหลายแห่งปรับลดผลทำนาย GDP ในปีนี้ลง
ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทวิเคราะห์ทางการเงิน Autonomous Research กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์เช่นนี้คงเป็นเรื่องยากที่ผู้รับชอบของจีนจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการขยายตัวได้ตามที่หวัง
เขาอธิบายว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอาจเร่งให้ความต้องการสำหรับพลังงานมีมากขึ้นและกลายเป็นการซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ในขณะที่การหยุดปฏิบัติงานของโรงงานเป็นเวลาหลายวันเนื่องจากการตัดไฟก็จะส่งผลต่อเนื่องถึงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ
ด้วยปัจจัยที่มารวมกันหลายเรื่องในสถานการณ์ดังกล่าวจึงกลายเป็นตัวถ่วงต่อการเติบโตในปัจจุบัน โดยที่ปัญหายังไม่น่าจะคลี่คลายลงภายในเร็ววันนี้ และเราก็ยังไม่น่าจะได้เห็นนโยบายกระตุ้นในเชิงรุกจากรัฐบาลปักกิ่งภายในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า
ปัญหานี้ยังอาจส่งผลต่อเนื่องไปถึงประเทศอื่น ๆ ในการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างออกไป เนื่องจากทั่วโลกต่างเคยชินกับแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่ออกมารองรับกับสถานการณ์อันยากลำบากในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามกิจกรรมในโรงงานของจีนเริ่มมีการกระเตื้องขึ้นหลังการเปิดเผยข้อมูลดัชนีผจก.ฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของภาคการผลิตสำหรับเดือนต.ค.ที่ 50.6 เมื่อช่วงเช้าของเมื่อวานนี้ โดยถือเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา
ถึงแม้ในภาพรวมของตัวเลข PMI จะดูดีขึ้น แต่หากลงลึกไปในรายละเอียดก็จะพบว่ากิจการขนาดเล็กในบางพื้นที่แสดงตัวเลขของผลผลิตที่ลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และเป็นไปด้วยอัตราที่น่าเป็นห่วงกว่าในเดือนก.ย.
เศรษฐกิจของจีนกำลังเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย ซึ่งจากการขยายตัวของ GDP ที่ 4.9% ในแบบปีต่อปีของช่วงไตรมาสที่ 3 ก็ถือเป็นสถิติต่ำสุดในรอบ 1 ปี ในขณะที่การถดถอยของภาคอสังหาริมทรัพย์ก็ยังเป็นอีกปัจจัยที่คอยถ่วงการเติบโตของพวกเขา
ปัญหาหลัก ๆ ที่เกิดขึ้นในภาคส่วนนี้มาจากวิกฤตทางการเงินของ Evergrande และบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่น ๆ ที่ไม่สามารถชำระหนี้สินของตนเอง ซึ่งเป็นผลกระทบที่ตามมาจากนโยบายกระตุ้นของรัฐบาลที่ปล่อยกู้ให้กับบริษัทในอุตสาหกรรมนี้มากเกินไป
ผู้เชี่ยวชาญจาก Autonomous Research ยังให้ความเห็นไว้ว่า การชะลอตัวที่เกิดขึ้นกับภาคอสังหาริมทรัพย์ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออัตราการเติบโตของจีน แต่อย่างน้อยมันก็ยังไม่ถึงจุดที่ทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ถูกทำลายลงไป
References :