จากสิ่งที่ดูดีเกินไปในรูปแบบของค่าแรงที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยอัตราที่สูงขึ้น 5.7% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบกับ 1 ปีก่อน อาจกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นไปอีก
ในขณะที่ฟังดูเป็นข่าวดีสำหรับกลุ่มลูกจ้างชาวอเมริกัน แต่มันก็กำลังเพิ่มความลังเลให้กับ Fed ถึงท่าทีของนโยบายการเงินในปัจจุบัน ท่ามกลางความพยายามไล่ตามแก้ไขปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วสุดในรอบเกือบ 40 ปี
หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจของ Bank of America ได้กล่าวไว้เมื่อวานนี้ว่า หากเขาเป็นประธาน Fed ก็น่าจะเริ่มขยับตัวด้วยการวางแผนเร่งปรับดอกเบี้ยในช่วงฤดูใบไม้ร่วง จากทิศทางของค่าแรงที่สูงขึ้นและสภาวะที่ไล่ตามหลังเงินเฟ้ออยู่ในขณะนี้
BofA เผยข้อเรียกร้องที่แข็งกร้าวต่อ Fed สำหรับความเคลื่อนไหวในปีนี้ โดยมองไปถึงการขยับดอกเบี้ยขึ้น 0.25% รวมกันทั้งหมดถึง 7 ครั้งภายในปี 2022 และต่อด้วยการปรับอัตราดอกเบี้ยอีก 4 ครั้งในปีหน้า
BofA อ้างถึงแนวทางใหม่ของนโยบายการเงินของ Fed ที่ได้รับการอนุมัติในเดือนก.ย. 2020 ภายใต้สิ่งที่ถือว่าเป็นการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยที่ยืดหยุ่นได้ ซึ่ง Fed ได้กล่าวถึงความยินดีที่จะยอมให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงกว่าเป้าหมาย 2% เพื่อให้ได้การจ้างงานเต็มที่
แต่ด้วยอัตราเงินเฟ้อปัจจุบันที่ระดับ 7% ในแบบปีต่อปีและภาวะของตลาดแรงงานที่ตึงตัวขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ Fed จึงอยู่ในสถานะที่จะต้องไล่ตามปัญหานี้ให้ทัน ในขณะที่ยังย้ำเหตุผลของการเรียกร้องให้มีการปรับดอกเบี้ยถึง 7 ครั้งว่ามองไปถึงเรื่องของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
BofA ยังอ้างอิงข้อมูลที่แสดงถึงภาคส่วนการบริการที่ได้รับผลกระทบหนักสุดจากภาวะวิกฤตของ COVID-19 ว่ามีการปรับตัวของค่าจ้างที่สูงขึ้นถึง 13% ตลอดปีที่ผ่านมา ในขณะที่อัตราค่าแรงของอาชีพสายการเงินและค้าปลีกก็ขยับตัวขึ้น 4.8% และ 7.1% ตามลำดับ
ในขณะเดียวกัน Goldman Sachs ก็มองถึงสถานการณ์นี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ Great Resignation ที่หมายถึงการลาออกของพนักงานหลังการระบาดครั้งใหญ่ด้วยจำนวนที่เรียกได้ว่าทุบสถิติ
นักเศรษฐศาสตร์ของ GS อธิบายถึง Great Resignation ว่าประกอบไปด้วย 2 แนวโน้มที่แตกต่างแต่มีความเชื่อมโยงถึงกัน จากแรงงานนับล้านคนที่พ้นออกจากสถานะของกำลังแรงงานและอีกหลายล้านคนที่ออกจากงานเก่าเพื่อโอกาสในการรับค่าแรงสูงขึ้นจากงานใหม่
GS ยังประเมินว่าการเติบโตของค่าแรงจะมีการชะลอตัวลงในปีนี้ แต่อาจเป็นเพียงระดับที่เล็กน้อยไปจนถึงประมาณ 5% ตลอดทั้งปี ในขณะที่ยังคาดหมายถึงการปรับอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งภายในปีนี้
ส่วนทางผู้มีส่วนร่วมในตลาดก็มีมุมมองต่อความเคลื่อนไหวของ Fed เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ โดยกำลังเล็งไปถึงการปรับดอกเบี้ยขึ้น 5 ครั้งในปีนี้ และยังไม่มองข้ามความเป็นไปได้สำหรับการขยับตัวที่เร็วขึ้นและด้วยอัตราที่มากขึ้น
ในขณะที่นักลงทุนยังคาดการณ์ถึงการปรับดอกเบี้ยที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนมี.ค.ด้วยอัตรา 0.25% และมองความเป็นไปได้ของแนวทางในเชิงรุกมากขึ้นที่จะมีความเคลื่อนไหวด้วยอัตรา 0.50% เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 30% และมองไกลไปถึงอัตรา 1.0% ด้วยโอกาส 10%
References :
