รู้หรือไม่ – สถาบันการเงิน Citigroup คาดการณ์ว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนตัวลงถึง 20% ภายในปีหน้า
ปฏิกิริยาอันวูบวาบของตลาดการเงินที่มีต่อข่าวคืบหน้าของวัคซีนและผลการเลือกตั้งของสหรัฐฯ กำลังผลักดันให้สกุลเงินบางตัวทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว จนดูเหมือนเป็นการบอกใบ้ถึงโอกาสเกิดสงครามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราครั้งใหม่
เป็นเวลาเกือบสิบปีหลังจากกระทรวงการคลังของบราซิลทำตามแบบอย่างธนาคารกลางของชาติตะวันตกในการปั๊มเงินเพื่อทำสงครามเศรษฐกิจ โดยหวังให้สกุลเงินของพวกเขาอ่อนค่าลงไปก่อนจะรอเวลากลับคืนสู่สภาวะเดิม
ด้วยความกระตือรือร้นของนักลงทุนที่เริ่มหันเหกลับมาทางสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ได้ทำให้เกิดช่วงเวลาที่ดีที่สุดภายในรอบ 2 ปีสำหรับสกุลเงินของตลาดเกิดใหม่เมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา หลังเริ่มมีแนวโน้มในทิศทางบวกมาตั้งแต่เดือนมิ.ย.
นอกจากนี้จากแนวโน้มการอ่อนตัวของเงินดอลลาร์ที่กลายเป็นสถิติต่ำสุดในรอบ 2 ปีเมื่อวานนี้ ก็ยิ่งกลายเป็นแรงเสริมที่สำคัญหลังจากที่เคยสร้างสถิติไต่ระดับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2012
เกาหลีใต้, ไต้หวัน และไทยต่างแสดงความกังวลถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด และได้ทำการแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยนของตนเอง รวมถึงการออกมาตรการอื่น ๆ ในความพยายามที่จะปกป้องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เปราะบางไม่ให้ล่มสลายลงไป
ในขณะที่ปี 2020 กลายเป็นปีทองสำหรับสกุลเงินโครนาของสวีเดน ธนาคารกลางของประเทศก็พึ่งตัดสินใจออกมาตรการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเติมออกมาอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
นักวางกลยุทธ์ของ UBS ได้ให้ความเห็นว่า “สงครามค่าเงิน” อาจเป็นคำที่ดูดราม่าเกินไปหน่อยในขณะนี้ แต่ในขณะเดียวกันหลายฝ่ายก็เริ่มสังเกตเห็นสัญญาณเตือนบางอย่าง และหากค่าเงินเหล่านี้ยังคงแข็งค่าขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ ประเทศเหล่านี้ก็จะไม่ยอมอยู่เฉยแน่นอน
การตั้งหน้าตั้งตาลดค่าเงินเป็นวิธีการที่ถูกกล่าวโทษจากบรรดานักเศรษฐศาสตร์ ว่าเป็นตัวการทำให้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในช่วงยุคปี 1930 รุนแรงยิ่งขึ้น และยังส่งผลต่อเนื่องไปอีกหลายสิบปีต่อระบบการค้าทั่วโลกจากการเน้นไปทางลัทธิคุ้มครองในแต่ละประเทศ
วงจรดังกล่าวมักเริ่มต้นด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแข่งกันและการเข้าแทรกแซงค่าเงิน ก่อนจะลุกลามไปถึงการควบคุมเงินทุนและภาษีการลงทุนที่จะคอยกีดกันเงินตราจากต่างประเทศ ดั่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในขณะนี้
สถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IIF) เปิดเผยข้อมูลในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า นักลงทุนได้หว่างเม็ดเงินเป็นสถิติ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ไปกับหุ้นสามัญและ 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์กับพันธบัตรในตลาดเกิดใหม่เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่ายอดของ 3 เดือนก่อนหน้านั้นรวมกัน
เงินเปโซเม็กซิโก, เรอัลบราซิล, ลีราตุรกี, แรนด์แอฟริกาใต้, รูเบิลรัสเซีย และซวอตีโปแลนด์ต่างไต่ระดับขึ้นระหว่าง 5-10% ในขณะที่เงินหยวนจีน, ดอลลาร์ไต้หวัน และวอนเกาหลีใต้ก็ขยับขึ้นในช่วง 5-12%
และจากอัตราดอกเบี้ยต่ำทั่วโลกโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็ทำให้ยากที่จะหาผลตอบแทนที่เป็นบวกจากการถือพันธบัตร ในขณะที่การตื่นตัวของอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าและระบบอัตโนมัติ จึงทำให้มีเงินลงทุนเป็นจำนวนมากไหลเข้าสู่ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ในเอเชีย
References :