Stagflation หรือภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นถือเป็นปรากฎการณ์ที่อาจทำให้ผู้ที่เคยติดตามเศรษฐกิจในยุคปี 1970 จะรู้สึกสั่นสะท้าน เนื่องจากมีทางเลือกอันน้อยนิดในการหลีกเลี่ยงความเสียหายจากราคาที่สูงขึ้น
หากย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น พอล โวล์คเกอร์ อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ถูกบีบบังคับให้ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในระดับที่สูงอย่างไม่เคยมีมาก่อนเพื่อควบคุมสถานการณ์เงินเฟ้อ และข่าวร้ายก็คือล่าสุดเริ่มมีการพูดคุยกันถึงประเด็นนี้อีกครั้ง
ศจ.จาก New York University ได้ให้ความเห็นว่า อัตราเงินเฟ้อกำลังขยับตัวสูงขึ้นในสหรัฐฯและหลาย ๆ ประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจชั้นนำ ในขณะที่อัตราการเติบโตเริ่มชะลอตัวลง แม้จะมีนโยบายสนับสนุนทั้งในด้านการเงิน, การคลัง และสินเชื่ออย่างครบครัน
ใน UK อัตราเงินเฟ้อของเดือนส.ค.เติบโตขึ้นเร็วสุดในรอบอย่างน้อย 24 ปี หรือในสหรัฐฯที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ต่อปีขยับขึ้น 5.3% ในเดือนส.ค. และถึงแม้มันอาจจะดูดีกว่าเดือนก่อนหน้านั้นแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดภาวะวิกฤตของ COVID-19
ในขณะเดียวกันนักเศรษฐศาสตร์หลายคนต่างก็ลดผลทำนายการเติบโตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลังจากที่พวกเขาประเมินผลกระทบจากโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งดันถาโถมเข้ามาในช่วงที่มาตรการเยียวยาบางตัวกำลังทยอยสิ้นสุดลง
อย่างไรก็ตามระยะเวลาของ Stagflation ยังไม่ได้รับการประเมินแบบอ้างอิงพื้นฐานจากกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนต่าง ๆ จากที่หลายคนยังคงเชื่อว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นไปเพียงชั่วคราว
เช่นเดียวกับ Fed ที่ยังยืนยันในหลักการเรื่องปัญหาจากเงินเฟ้อว่าจะเกิดขึ้นชั่วคราว และจะผ่านพ้นไปหลังแรงกดดันจากระบบซัพพลายเชนและการติดขัดของตลาดแรงงานเริ่มทุเลาลง แต่ก็ยังมีผู้บริโภคอีกเป็นจำนวนมากที่มีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้
โดยเมื่อสัปดาห์ก่อน Fed สาขานิวยอร์กได้เผยแพร่ผลสำรวจของผู้บริโภคล่าสุดซึ่งพบว่า อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในปีถัดไปจะอยู่ในระดับสูงจนกลายเป็นสถิติ โดยเปรียบเทียบกับตัวเลขที่สูงลิบลิ่วในช่วงปี 2013
สาเหตุที่นักเศรษฐศาสตร์คอยจับตาดูอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์เนื่องจากมันอาจเป็นแรงกระตุ้นให้กับแรงงานที่คาดหวังถึงค่าแรงที่สูงขึ้น ในกรณีที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเงินมากขึ้น อำนาจซื้อก็จะเติบโตขึ้น และภาคธุรกิจก็อาจปรับราคาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นการเริ่มต้นวงจรใหม่ทั้งหมด
ในบันทึกล่าสุดถึงลูกค้าจากนักวางกลยุทธ์ของธนาคาร Bank of America ได้ชี้ไปถึงประเด็นความกังวลจากราคาของพลังงาน โดยเปรียบเทียบกับภาวะวิกฤตน้ำมันในปี 1973 ที่เป็นตัวทำให้ปัญหาเงินเฟ้อทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในเวลานั้น
แม้เศรษฐกิจกำลังแสดงออกถึงสัญญาณบางอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการเผชิญกับปัญหาจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้า แต่ BofA ก็แนะนำให้ลูกค้าพิจารณาหุ้นที่มีการปันผลอย่างมั่นคงและหุ้นจากบริษัทขนาดเล็กที่จะเอาตัวรอดจากภาวะเงินเฟ้อได้ดีกว่า
ระหว่างสัปดาห์นี้อาจเป็นช่วงเวลาที่สำคัญเมื่อ Fed และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีกำหนดการประชุมนโยบาย ซึ่งอาจจะมีการพูดคุยเรื่องการถอดถอนนโยบายสนับสนุน แต่ด้วยประเด็นของ Stagflation ในปัจจุบันก็อาจทำให้การตัดสินใจดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย
References :
https://edition.cnn.com/2021/09/19/investing/stocks-week-ahead/index.html