หลายครั้งหลายคราที่นักลงทุนได้รับผลกระทบจากการลงทุนในช่วงเวลาที่เกิดสงครามโรคระบาดครั้งใหญ่ขึ้นในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งทุกครั้งที่เกิดโรคระบาดแน่นอนว่าต้องส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลกและการลงทุนในทุกหย่อมหญ้าเป็นวงกว้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรียกได้ว่านอกจากโรคระบาดจะส่งผลที่ทำให้คนสุขภาพแย่แล้ว ในด้านของสุขภาพการลงทุนก็ป่วยและแย่ตามไปด้วย ผลกระทบที่เกิดขึ้นในอดีตมักจะส่งผลต่อความกังวลใจของนักลงทุนในปัจจุบันไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะกับราคาทองคำ ทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนทั้งหลายได้รับบทเรียนมาแล้ว จากเหตุการณ์สงครามโรคระบาดในอดีตที่ผ่านมาที่พบว่าความกังวลที่มีต่อสถานการณ์โรคระบาดสามารถหนุนให้ราคาทองคำปรับสูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเวลาที่โรคระบาดตกอยู่ในสถานการณ์ที่รุนแรงที่สุด ราคาทองคำกลับมีการปรับสูงขึ้นสวนกระแสเศรษฐกิจโลกอย่างน่าตกใจ เกินอะไรขึ้นกับราคาทองคำในช่วงสงครามโรคระบาดในอดีตที่แม้จะมีราคาสูงขึ้นแต่นักลงทุนกลับเทขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงทิ้ง และหันมาสนใจซื้อทองคำไว้แทน ถึงเวลาส่องสงครามโรคระบาดกับราคาทองคำกันแล้วว่า…จะมีโอกาสซ้ำรอยเดิม รอยเดียวกันกับในประวัติศาสตร์ราคาทองคำเมื่อครั้งในอดีตหรือไม่ หรือนี่จะเป็นบทเรียนครั้งใหม่ที่แตกต่างออกไปจากอดีตโดยสิ้นเชิง
“เมื่อประเทศจีนป่วย ทุกอย่างก็ป่วยตาม ราคาทองคำก็จามไปพร้อม ๆ กัน”
3 โรคระบาดครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบันนี้ อย่าง ‘โรคซาร์ส’ ‘โรคเมอร์ส’ และ ‘โรคโควิด-19’ มีต้นตอมาจากเชื้อไวรัสตระกูลโคโรนาที่ทำลายระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลันเหมือนกันโดยผู้ป่วยจะมรอาการคล้ายกับคนป่วยโรคไข้หวัดใหญ่จากนั้นเชื้อไวรัสจะลุกลามเข้าไปทำลายปอด ทำให้เกิดอาการปอดบวมอย่างรุนแรงขึ้น สร้างความเสียหายต่อร่างกาย ชีวิต การลงทุนและเศรษฐกิจที่แทบจะไม่ต่างกันเลย แต่ ‘โรคเมอร์ส’ นั้นแตกต่างออกไปจากการแพร่ระบาดที่เกิดในประเทศซาอุดีอาระเบีย และในตะวันออกกลางเท่านั้นจึงยังไม่ส่งผลกระทบรุนแรงและคร่าชีวิตผู้คนไปมากเท่ากับ ‘โรคซาร์ส’ กับ ‘โรคโควิด-19’ ที่มีจุดกำเนิดมาจากประเทศจีนเหมือนกัน เนื่องจากจีนเป็นตลาดที่มีผู้บริโภคทองคำมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก การเกิดสงครามโรคระบาดขึ้นในประเทศจีนจึงมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำอยู่บ้าง เพราะขนาดของเศรษฐกิจประเทศจีนนั้นใหญ่และมีต่อเศรษฐกิจโลกอยู่มาก
“ส่องสงครามโรคซาร์ส กับราคาทองคำในอดีต”
‘โรคซาร์ส’ เริ่มมีการแพร่ระบาดมาจาก มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน เริ่มระบาดในช่วงเดือนพฤศจิกายนในปี 2002 มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 8,000 ราย 8คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 774 ราย จาก 30 ประเทศทั่วโลก สงครามโรคระบาดในครั้งนี้ สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างยาวนานกว่า 7 เดือน แต่กลับไม่ส่งผลกระทบถึงราคาทองคำแต่อย่างใด โดยราคาทองเริ่มปรับสูงขึ้นจาก 318.6 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงต้นเดือนธันวาคม ปี 2002 สู่ระดับ 339.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงเวลาต่อมา และแม้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2003 ที่สถานการณ์โรคระบาดรุนแรงมากขึ้นแต่ราคาทองคำกลับพุ่งสู่จุดสูงสุดในระดับ 388.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เห็นได้ชัดว่าความกังวลต่อความรุนแรง และแนวโน้มในการควบคุมสถานการณ์โรคระบาด ส่งผลเชิงบวกต่อราคาทองคำเป็นอย่างมาก จึงทำให้นักลงทุนหันมาสนใจกับราคาทองคำที่เป็นสินทรัพย์ที่ดูมีความปลอดภัยมากกว่า มีการผันผวนที่โดดเด่นและมีบทบาทในช่วงเวลาที่เกิดโรคระบาดมากกว่าสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง แม้จะเป็นการลงทุนในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ แต่ก็ทำกำไรให้กับนักลงทุนที่ประเมินสถานการณ์ได้ดีในช่วงสงครามโรคระบาดได้ไม่น้อยเลย
“สงครามโรคโควิด-19 ประวัติจะต้องซ้ำ ประวัติศาสตร์คงไม่เปลี่ยน”
โควิด-19 เป็นไวรัสตระกูลโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่เริ่มแพร่ระบาดในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2020 ที่นับวันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ความน่ากลัวของการระบาดครั้งนี้ก็คือ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีการค้นพบวัคซีนป้องกันหรือยารักษาอย่างเป็นทางการเลย กว่า 4 เดือนที่ผ่านมา มียอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกกว่า 2 ล้านราย เสียชีวิตแล้วเกือบ 2แสนราย นี่ถือเป็นสงครามโรคระบาดที่สร้างความเสียหายมากที่สุดที่เคยเกิดขึ้นเลยก็ว่าได้ แต่ก็แน่นอน ราคาทองคำก็มีการปรับขึ้นตามคาด โดยปลายปี 2019 ที่เริ่มมีการระบาดของเชื้อไวรัสราคาทองคำอยู่ที่ระดับ 1,514 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จนพุ่งสูงขึ้นในปลายเดือนมกราคม ปี 2020 อยู่ที่ระดับ 1,584 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และยังค่อย ๆ ปรับขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง และตราบใดที่ยังไม่มีสัญญาณที่ดีว่าจะควบคุมความรุนแรงของโรคระบาดได้ ราคาทองคำก็ยังมีแนวโน้ม มีแรงหนุนที่จะปรับสูงขึ้นได้อีก
‘โดยราคาทองคำในนี้ วันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2563 จะเปิดที่ราคา 1,729 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์’
เป็นไปได้มากว่าราคาทองคำมีโอกาสที่จะสูงขึ้นซ้ำรอยอดีตได้ เนื่องจากยิ่งสงครามโรคระบาดครั้งนี้สร้างความหวาดกลัว และความกังวลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ความผันผวนของค่าเงินและตลาดหุ้นมากเพียงใด ระยะเวลาในการควบคุมการระบาดของโรคยืดเยื้อมากเพียงใด ก็จะส่งผลให้มีความต้องการในการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น และความต้องการในการซื้อทองคำที่เป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงที่สุด มีค่าที่สุดนี่แหละ จะทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น ตามความกังวลที่นักลงทุนมีต่อสงครามโรคระบาดครั้งนี้
