หลังการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำวัย 46 ปีจากการกระทำเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเขตเมืองมินนิแอโพลิส รัฐมินนิโซตา ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา ชาวอเมริกันนับหมื่นต่างเพิกเฉยต่อการประกาศเคอร์ฟิวในแต่ละท้องที่ และพากันหลั่งไหลออกมาตามท้องถนนแม้ในยามค่ำคืน
กระแสความไม่พอใจกระจายตัวไปตามเมืองสำคัญต่าง ๆ มีการปะทะกันของกลุ่มผู้ประท้วงและการขโมยของจากห้างร้านในกรุงนิวยอร์ก ในขณะที่ฝูงชนจำนวนหนึ่งถูกจับกุมในนครลอสแองเจลิสหลังปักหลักอยู่กลางท้องถนนเกินกว่าเวลาของการประกาศเคอร์ฟิว และยังมีการรวมกลุ่มกันประท้วงในเขตเมืองฟิลาเดเฟีย, แอตแลนตา, เดนเวอร์ และซีแอตเติล
แม้การชุมนุมส่วนใหญ่จะเป็นไปอย่างสันติในช่วงเวลากลางวัน แต่พอหลังพระอาทิตย์ตกดินกลับมีฝูงชนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มก่อความวุ่นวาย, วางเพลิง และลักขโมยข้าวของ เฉพาะคืนวันจันทร์ที่ผ่านมาก็มีตำรวจถูกยิงไปถึง 5 รายจากภายในพื้นที่เขต 2 เมือง
และแม้จะมีการประกาศเตือนจากปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่พร้อมใช้งานกองกำลังพิทักษ์ชาติหรือแม้แต่กำลังพลของกองทัพในการจัดการกับผู้ชุมนุมหัวรุนแรง แต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดูดีขึ้นแต่อย่างใด
ตอกย้ำไปด้วยผลสำรวจของ Reuters/IPSOS เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่รู้สึกเห็นอกเห็นใจกลุ่มผู้ประท้วงที่ออกมาเรียกสิทธิและความยุติธรรมจากเหตุการณ์อันน่าสลดของ ฟลอยด์ และยังรู้สึกไม่เห็นด้วยต่อการตัดสินใจของ ทรัมป์ ที่ขู่จะใช้มาตรการรุนแรงต่อผู้ประท้วง
ข้อมูลจากผลสำรวจแสดงตัวเลข 64% ของคนวัยทำงานที่รู้สึกเห็นใจผู้ที่ออกมาชุมนุมกันในขณะนี้ ในขณะที่ 27% มีความเห็นตรงกันข้าม และอีก 9% ที่ยังรู้สึกไม่แน่ใจกับการกระทำดังกล่าว
ในขณะเดียวกัน 55% ของชาวอเมริกันแสดงความคัดค้านต่อแนวทางการรับมือกับผู้ชุมนุมของ ทรัมป์ ซึ่งก็นับรวมไปถึงตัวเลข 40% ที่รู้สึกไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง โดยมีเพียง 1 ใน 3 ของผู้ร่วมออกความเห็นที่มองว่าเป็นการกระทำที่เหมาะสม ในขณะที่อัตราส่วนของผู้ที่ยอมรับผลงานโดยรวมของ ทรัมป์ ก็มีเพียง 39%
ในขณะที่ยอดผู้ป่วยด้วยโรค COVID-19 รายใหม่ในแต่ละวันของสหรัฐฯ ยังคงมีตัวเลขสูงเกินกว่า 20,000 คนติดต่อกันมาตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่บรรดาทีมแพทย์และพยาบาลก็อาจจะต้องปวดหัวยิ่งขึ้นเมื่อมีเหตุการณ์ชุมนุมกระจายไปทั่วทั้งประเทศ ซึ่งยังไม่นับรวมไปถึงเคสของผู้บาดเจ็บจากเหตุความรุนแรงของการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงและฝ่ายเจ้าหน้าที่
ชาวอเมริกันต่างมีความเห็นออกเป็นสองฝั่งที่ชัดเจน โดย 43% มองว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำหน้าที่ได้ดีแล้ว แต่อีก 47% กลับไม่เห็นด้วยกับวิธีการรับมือของผู้รักษากฎหมาย ซึ่งยังแบ่งแยกได้เป็นผู้ที่สนับสนุนพรรคเดโมแครตส่วนใหญ่ที่รู้สึกไม่พอใจ ในขณะที่กองเชียร์พรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ก็เป็นฝ่ายสนับสนุนแนวทางของตำรวจ
นับตั้งแต่การก้าวขึ้นมาครองตำแหน่งในปี 2017 ทรัมป์ เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมานับครั้งไม่ถ้วน และยังสามารถเอาตัวรอดได้จากการถูกถอดถอนในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่จากภาวะวิกฤตที่ประดังถาโถมเข้ามาในปัจจุบัน นี่อาจจะเป็นมรสุมทางการเมืองครั้งใหญ่สุดอย่างที่ ทรัมป์ ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
จากผลโพลของ Reuters/IPSOS ตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมายังแสดงถึงฐานความนิยมของ ทรัมป์ ที่สั่งสมมาตลอด 3 ปีเริ่มมีอาการสั่นคลอนอย่างชัดเจนในบางพื้นที่ รวมถึงกลุ่มผู้ที่มีรายได้มากกว่า 100,000 ดอลลาร์ต่อปีในช่วงวัย 35-45 ปี และหญิงผิวขาวที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีก็กล่าวว่ากำลังพิจารณา โจ ไบเดน คู่แข่งคนสำคัญของเขาสำหรับการเลือกตั้งปลายปีนี้เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ในภาพรวม ไบเดน ยังมีคะแนนนำหน้า ทรัมป์ ถึง 10 หน่วยเปอร์เซ็นต์จากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมอนเมาท์ที่ร่วมกับนสพ. The Washington Post และสำนักข่าว ABC News ซึ่งผลสำรวจของทั้ง 2 แห่งนี้ก็สอดคล้องกับโพลของ Reuters ในสัปดาห์ล่าสุดที่ระบุว่า อดีตรองปธน.สหรัฐฯ กำลังทำคะแนนนำอยู่ถึง 10 หน่วยเปอร์เซ็นต์
สุดท้ายแล้วไม่ว่าผลการเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ ในเดือนพ.ย.นี้จะออกมาเป็นเช่นไร แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้นำของชาวอเมริกันจะต้องคำนึงถึงให้มากยิ่งขึ้นนับจากนี้ คือปัญหาการเหยียดผิวที่เหมือนขยะถูกซุกอยู่ใต้พรมมานานกว่า 100 ปี จำเป็นจะต้องถูกรื้อออกมาเก็บกวาดและวางมาตรฐานใหม่ให้ดีกว่าเก่า #BlackLivesMatter
Credit : https://www.reuters.com/article/us-minneapolis-police-protests/sporadic-violence-flares-in-latest-u-s-protests-over-floyd-death-idUSKBN23916N
https://www.reuters.com/article/us-minneapolis-police-poll-exclusive/exclusive-most-americans-sympathize-with-protests-disapprove-of-trumps-response-reuters-ipsos-idUSKBN239347
https://www.reuters.com/article/us-minneapolis-police-trump-risks-analys/a-triple-whammy-of-crises-tests-trumps-support-ahead-of-novembers-election-idUSKBN23B1GD