จีนตัดสินใจครั้งสำคัญในการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อหลีกเลี่ยงภัยคุกคามที่มีต่อการฟื้นตัว โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาธนาคารกลางของจีน (PBoC) ประกาศลดอัตราการดำรงเงินสำรองลง 0.5 หน่วย %
ความเคลื่อนไหวที่จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.นี้ มีเป้าหมายจะช่วยลดปริมาณการสำรองเงินของธนาคารส่วนใหญ่ โดยจะมีการปั๊มเงินเข้ามาราว 1.2 ล้านล้านหยวน ($1.88 แสนล้าน) สำหรับการกู้ยืมแก่ภาคธุรกิจและครัวเรือน
มันยังเป็นการปรับลดอัตราดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 ของปีนี้ ในขณะที่ปธน. สี จิ้นผิง แห่งจีนก็ได้ยืนยันแผนการปกป้องเศรษฐกิจในเชิงรุกสำหรับปี 2022 จากคำแถลงการณ์ในวันเดียวกันว่า การรับรองเสถียรภาพทางการเงินจะเป็นหนึ่งในความสำคัญสูงสุดของปีที่จะถึงนี้
นักวิเคราะห์จากธนาคาร Macquarie Group ให้ความเห็นว่า เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลปักกิ่งเน้นย้ำเรื่องความมีเสถียรภาพ จากที่พวกเขาเคยแสดงออกถึงความระมัดระวังอย่างยิ่งในการเข้าไปแทรกแซงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจระหว่างช่วงภาวะวิกฤตของ COVID-19
จีนไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2020 และหลีกเลี่ยงการปูพรมนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตลอดในช่วงที่ผ่านมา โดยเลือกที่จะกำหนดเป้าหมายในการช่วยเหลือแก่ธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากปัญหาโรคระบาดแทน
แม้จีนจะทำผลงานได้ดีระหว่างช่วงภาวะวิกฤตและยังเป็นประเทศผู้นำเศรษฐกิจเพียงหนึ่งเดียวที่มีการขยายตัวเป็นบวกในปีที่ผ่านมา แต่พวกเขากำลังเผชิญกับความท้าทายของการชะลอตัวในปีนี้ ด้วยปัญหาด้านพลังงาน, ระบบซัพพลายเชน และวิกฤตอสังหาริมทรัพย์
นักวิเคราะห์หลายคนยังเป็นกังวลเกี่ยวกับการปราบปรามบริษัทเทคโนโลยีและกิจการอื่น ๆ ของภาคเอกชน ซึ่งจากการประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์ในเดือนธ.ค.ปีก่อน ก็มีการส่งสัญญาณถึงการใช้มาตรการควบคุมธุรกิจของเอกชนที่เข้มงวดขึ้น
ในขณะที่วิกฤตทางการเงินของ Evergrande ก็อาจเป็นลางร้ายที่ใหญ่สุดของจีน โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่สุดอันดับ 2 ของประเทศได้กล่าวเตือนว่า พวกเขาอาจไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้ทันตามกำหนด
นักวิเคราะห์หลายคนต่างเป็นกังวลมาโดยตลอดว่า การล่มสลายของ Evergrande อาจสร้างวิกฤตระลอกคลื่นที่แผ่ขยายออกไปทั่วทั้งภาคส่วนอสังหาฯของจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 30% ของตัวเลข GDP
ที่ผ่านมาจีนเคยยืนยันหนักแน่นถึงการปราบปรามกิจกรรมที่ไร้ระเบียบและการกู้ยืมที่สูงเกินไปในภาคส่วนอสังหาฯ โดยในปี 2017 สี เคยประกาศว่า “บ้านมีไว้สำหรับการอยู่พักอาศัยไม่ใช่การเก็งกำไร” จนกลายเป็นรากฐานของนโยบายในภาคส่วนนี้มาเป็นเวลานานหลายปี
แต่นักวิเคราะห์จากธนาคาร Citigroup ออกมาชี้ถึงประเด็นเมื่อวานนี้ว่า รัฐบาลปักกิ่งกลับหลบเลี่ยงที่จะตอกย้ำหลักการดังกล่าวจากคำแถลงการณ์ล่าสุด โดยเลือกที่จะย้ำว่าประเทศจำเป็นจะต้องสนับสนุนความต้องการของที่พักอาศัยอย่างเหมาะสมในอนาคต
ซึ่งจากความเคลื่อนไหวดังกล่าว ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงมีการขยับตัวขึ้น 2.7% และเป็นการฟื้นตัวจากที่ร่วงลงไป 1.8% เมื่อวันจันทร์ หลังจากที่ Evergrande ออกมาประกาศเรื่องปัญหาในการชำระหนี้ ในขณะที่ดัชนี SSE Composite ของจีนก็ปิดตัวที่ +0.2%
References :
https://edition.cnn.com/2021/12/07/economy/china-policy-economy-real-estate-intl-hnk/index.html
