ในการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการรุกรานของยูเครนเบื้องต้น นักวิเคราะห์กล่าวว่าสหรัฐฯจะเติบโตช้าลงด้วยอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น, เศรษฐกิจของยุโรปจะขยับเข้าใกล้ภาวะถดถอย และรัสเซียจะดำดิ่งลงลึกไปจนถึงตัวเลขสองหลัก
จากการรวบรวมค่าเฉลี่ยของการทำนาย 14 แห่งโดยสำนักข่าว CNBC เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯจะมี GDP สูงขึ้น 3.2% ในปีนี้ โดยลดลง 0.3 หน่วย % จากผลทำนายของเมื่อเดือนก.พ. แต่ยังคงอยู่เหนือแนวโน้มของการเติบโตหลังการทยอยฟื้นตัวจากปัญหาโอไมครอน
ในขณะที่ดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE Price Index) ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดอัตราเงินเฟ้อหลักของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ก็ถูกมองว่าจะขยับขึ้น 4.3% ในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้น 0.7 หน่วย % จากผลทำนายของเดือนก่อน
แต่ก็ยังมีคำเตือนถึงสิ่งที่ยังไม่ใครล่วงรู้เกี่ยวกับการตอบสนองของเศรษฐกิจสหรัฐฯต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันดิบแบบฉับพลันที่มุ่งหน้าไปสู่ $130 ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงเกินกว่า $4 ต่อแกลลอนในขณะนี้
จากการรวบรวมข้อมูลของ CNBC ยังชี้ว่า อัตราการเติบโตของสหรัฐฯน่าจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 3.5% ในช่วงไตรมาสที่ 2 จากอัตรา 1.9% ในไตรมาสที่ 1 แต่นั่นก็ยังเป็นตัวเลขที่ลดลง 0.8 หน่วย % จากผลประเมินก่อนหน้านี้
ส่วนผลคาดการณ์ของอัตราเงินเฟ้อถูกมองว่าจะขยับสูงขึ้นไปอีก 1.7 หน่วย % สำหรับไตรมาสที่ 1 และ 1.6 หน่วย % สำหรับไตรมาสถัดไป ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ถูกประเมินว่าจะลดลงจาก 4.3% ในปีนี้ลงมาอยู่ที่ 2.4% ณ ตอนปลายปี
นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทเงินทุน Amherst Pierpont กล่าวว่า ท่ามกลางราคาพลังงานที่สูงขึ้นและอาจจะทรงตัวได้นานขึ้น แนวโน้มดังกล่าวคาดว่าจะลดระดับลงภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งหมายถึงผลกระทบที่จะเกิดในระยะสั้นต่อการเติบโตและอัตราเงินเฟ้อ
แต่ก็ยังมีมุมมองในด้านลบบางส่วนเกี่ยวกับราคาที่สูงขึ้นว่าจะเป็นตัวขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจ จากการที่สหรัฐฯอยู่ในจุดที่เสี่ยงจะเกิด Stagflation หรือภาวะตกต่ำที่มาพร้อมกับภาวะเงินเฟ้อ ด้วยแนวโน้มของราคาพลังงานและอาหารที่อาจจะทะยานขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ
ในขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นในยุโรปจะรุนแรงยิ่งกว่า โดยธนาคาร Barclays ทำนายอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในยุโรปปีนี้ว่าจะเหลือแค่ 3.5% จากเดิมที่เคยประเมินไว้ 4.1% ในเดือนก่อน
เช่นเดียวกับ JPMorgan ที่ปรับลดผลทำนายการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปลงเกือบ 1 หน่วย % ในปีนี้ โดยคาดการณ์ตัวเลข GDP เอาไว้ที่ 3.2% พร้อมกับมองว่าการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 จะเท่ากับศูนย์
จากผลทำนายหมดต่างชี้ไปถึงรัสเซียว่าจะได้รับผลกระทบหนักสุด โดย JPMorgan ทำนายถึงการหดตัวของค่า GDP ที่ 12.5% หลังการถูกถาโถมด้วยมาตรการคว่ำบาตรในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน และการถูกแช่แข็งสินทรัพย์มูลค่า $6.3 แสนล้านที่อยู่ในรูปของทุนสำรองระหว่างประเทศ
ส่วนสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IFF) ประเมินตัวเลขการหดตัวของเศรษฐกิจรัสเซียที่ 15% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าการหดตัวจากวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ถึง 2 เท่า และยังชี้ถึงแนวโน้มของความเสี่ยงในทิศทางขาลงที่อาจทำให้รัสเซียไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป
References :