ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) น่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในช่วงปลายปีหน้า โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันจากมาตรการฉุกเฉินที่ใช้เป็นหลักพิงสำหรับเศรษฐกิจของสหรัฐฯระหว่างช่วงภาวะวิกฤต COVID-19 ตามผลโพลล่าสุดของ Reuters
ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่กล่าวว่า Fed น่าจะมีการขยับตัวเร็วขึ้นเพื่อการรับมือกับปัญหาจากอัตราเงินเฟ้อที่พึ่งสร้างสถิติสูงสุดในรอบ 30 ปีไปเมื่อเดือนก่อน โดยนักเศรษฐศาสตร์ยังมองว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับสูงกว่าเป้าหมายของ Fed ไปอีกอย่างน้อยจนถึงปี 2024
มุมมองที่เปลี่ยนไปของนักเศรษฐศาสตร์สำหรับการปรับอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกที่เลื่อนมาจากช่วงต้นปี 2023 ตามผลโพลของเดือนต.ค.ยิ่งเป็นไปตามความคาดหวังของตลาด หลังการรายงานผลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนต.ค.ที่เติบโตขึ้น 6.2% จากเมื่อ 1 ปีก่อน
และด้วยปัญหาการติดขัดในระบบซัพพลายเชนทั่วโลกรวมเข้ากับสถานการณ์ในตลาดแรงงานที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จึงทำให้ Fed มีแนวโน้มที่จะเดินตามรอยธนาคารกลางชั้นนำอื่น ๆ ที่ถูกคาดหมายว่าจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายในเร็ว ๆ นี้
จากผลโพลระหว่างวันที่ 15-18 พ.ย.ได้ทำนายว่า Fed น่าจะขยับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 25 bps จนมาอยู่ที่ 0.25-0.50% ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2022 ก่อนจะปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในไตรมาสที่ 1 และ 3 ของปี 2023 โดยอัตราดอกเบี้ยน่าจะไปถึง 1.25-1.50% ตอนสิ้นปี 2023
นอกจากนี้ยังมีความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ 27 จาก 42 คนที่ตอบคำถามเพิ่มเติมเรื่องมีคำแนะนำอะไรไปถึง Fed หรือไม่ ซึ่งก็ได้ข้อสรุปว่า Fed ควรจะปรับดอกเบี้ยเร็วขึ้นกว่านั้นอีกโดยน่าจะอยู่ในช่วงปลายเดือนก.ย.ปีหน้า
อัตราเงินเฟ้อในระดับสูงกำลังสร้างความกังวลให้กับบรรดาธนาคารกลางทั่วโลก โดยมีบางแห่งที่ทำการขยับตัวไปแล้วหรือใกล้ที่จะดำเนินการ ในขณะที่ Fed ก็ถูกคาดหมายว่าจะทำการลดระดับโครงการซื้อพันธบัตรมูลค่า $1.2 แสนล้านต่อเดือนนับตั้งแต่เดือนนี้
มุมมองที่สอดคล้องกันสำหรับการเปลี่ยนแปลงในดัชนีราคาด้านการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรวัดสำคัญของ Fed ถูกทำนายว่าจะอยู่สูงกว่า 4% ภายในไตรมาสนี้และไตรมาสหน้า ก่อนจะลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2022
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics กล่าวว่า เค้าลางของการเกิดภาวะ Stagflation เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น จากปัญหาการขาดแคลนที่เลวร้ายลงในส่วนต่าง ๆ และการขยายตัวที่ดูอ่อนแอของตัวเลข GDP
หลังการเติบโตด้วยอัตรา 6.7% ในช่วงไตรมาสที่ 2 เศรษฐกิจของสหรัฐฯถูกคาดหมายไว้ล่าสุดว่าจะเติบโตด้วยอัตราที่ช้าลงเหลือ 2.0% ในไตรมาสที่ 3 ก่อนจะขยายตัวขึ้นที่ 4.8% ในไตรมาสนี้ ซึ่งลดลงจากผลทำนายของเมื่อเดือนต.ค.ที่ 3.8% และ 5.0% ตามลำดับ
โดยเฉลี่ยแล้วนักเศรษฐศาสตร์ที่ร่วมตอบแบบสำรวจมองอัตราการเติบโตที่ 3.9% ในปีหน้า, 2.6% ในปี 2023 และ 2.3% ในปี 2024 โดยเปรียบเทียบกับผลทำนายครั้งก่อนที่ 4.0%, 2.5% และ 2.2% ตามลำดับ
ในขณะเดียวกันได้มีการประเมินอัตราการว่างงานไว้ระหว่าง 3.6-4.3% ในช่วงปลายปี 2023 และกว่าครึ่งของ 39 คนที่ตอบคำถามเพิ่มเติมอีกข้อหนึ่งกล่าวว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯน่าจะพัฒนาขึ้นอีกในปีถัด ๆ ไป
References :