ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินให้รัดกุมขึ้นเร็วกว่าที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์เอาไว้เมื่อ 1 เดือนก่อนหน้านี้ เพื่อรับมือกับปัญหาเงินเฟ้อที่ยังคงยืดเยื้ออยู่ ตามมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ที่ร่วมตอบแบบสำรวจจากสำนักข่าว Reuters
จากท่าทีของเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนที่ดูจะมีความรุนแรงไม่มากนัก ก็ทำให้รัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกกล้าที่จะเดินหน้าผลักดันเศรษฐกิจของตนเองให้กลับคืนสู่สภาวะปกติมากยิ่งขึ้น
ด้วยความกระตือรือร้นที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นจนแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปีเมื่อเดือนธ.ค. ท่ามกลางสถานการณ์ในตลาดแรงงานที่ตึงตัวยิ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ของ Fed หลายคนได้ออกมาส่งสัญญาณเอาไว้ล่าสุดว่าอัตราดอกเบี้ยน่าจะถูกขยับขึ้นในไม่ช้านี้
ค่าเฉลี่ยของผลทำนายจากโพลของ Reuters ระหว่างวันที่ 12-19 ม.ค.ชี้ว่า จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนมี.ค.ก่อนที่ดอกเบี้ยจะขยับขึ้นไปถึง 0.75%-1.00% ตอนสิ้นปีนี้ ซึ่งถือเป็นการอัปเกรดผลทำนายที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากผลโพลของเดือนก่อน
อย่างไรก็ตามมีนักวิเคราะห์ถึง 40 จาก 86 คนที่เชื่อว่า Fed อาจจะปรับอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยถึง 4 ครั้งในปีนี้ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับมุมมองในปัจจุบันของทางฝั่งนักลงทุนในตลาด
ผู้ตอบแบบสำรวจ 37 จาก 51 คนทำนายว่า Fed จะเริ่มลดบัญชีงบดุลในปัจจุบันที่ระดับเกือบ $9 ล้านล้านลงภายในช่วงสิ้นสุดไตรมาสที่ 3 ในขณะที่ยังกล่าวถึงผลคาดการณ์ของการปรับอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2023
ด้วยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ที่ยังคงอยู่ที่ระดับ 0.0-0.25% ในปัจจุบัน ก็ทำให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯทะยานขึ้นอย่างเต็มที่ ซึ่งก็เป็นปัญหาใหญ่ที่ธนาคารกลางทั่วโลกต่างกำลังประสบร่วมกันอยู่
ผู้ตอบแบบสำรวจ 25 จาก 38 คนกล่าวว่าภาวะเงินเฟ้ออันยืดเยื้อจะเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่สุดสำหรับเศรษฐกิจของสหรัฐฯตลอดในช่วง 1 ปีถัดไป โดยมีเรื่องการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินแบบฉับพลัน, COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ และปัญหาในระบบซัพพลายเชนเป็นปัจจัยรองลงมา
จากคำถามถึงเป้าหมายสุดท้ายของระดับอัตราดอกเบี้ยภายในรอบการเปลี่ยนแปลงที่จะถึงนี้ ค่าเฉลี่ยจากผู้ตอบแบบสำรวจ 35 คนเชื่อว่าจะอยู่ที่ 2.25%-2.50% โดย 2 ใน 3 ของผู้ตอบคำถามนี้เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงจนมาถึงจุดนี้จะเกิดขึ้นซักช่วงเวลาหนึ่งในปี 2024
เคสผู้ติดเชื้อจากโอไมครอนที่สูงขึ้นในสหรัฐฯซึ่งนำมาสู่ปัญหาการติดขัด ถือเป็นหัวข้อหลักที่ถูกกล่าวถึงว่าจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากที่สุดตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนไม่คาดหวังว่าจะมันยั่งยืนต่อไป
โดยผู้ร่วมตอบแบบสอบถามในประเด็นนี้กว่า 80% หรือ 31 จาก 38 คนกล่าวสรุปว่า สายพันธุ์โอไมครอนจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่เบาบางกว่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดลต้า
ในส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯก็ถูกคาดหมายว่าจะมีการเติบโตขึ้น 3.8% ในไตรมาสถัดไป แต่ตัวเลขจะค่อย ๆ ลดลงในไตรมาสที่เหลือ โดยค่าเฉลี่ยความคาดหมายของตัวเลข GDP ในปีนี้และปีหน้าอยู่ที่ 3.8% และ 2.5% ตามลำดับ
References :
