ราคาทองคำร่วงลงต่ำกว่า 1,740 โดยได้รับแรงกดดันจากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่ามีแนวโน้มจะยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ใช้รับมือกับการระบาดใหญ่ช่วงกลางปี 2565 และเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยเริ่มตั้งแต่ปลายปีหน้า
เป็นครั้งที่สองในหนึ่งสัปดาห์ที่ทองคำราคาร่วงลงประมาณ 2% หรือมากกว่านั้น เพื่อตอบสนองต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของเฟดต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ทองคำมีการซื้อขายสูงถึง 1,788.25 ในวันพุธ ก่อนที่ธนาคารกลางจะวางกรอบเวลาในการยุติการซื้อพันธบัตรรายเดือนที่ 120 พันล้านดอลลาร์และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากศูนย์ในปัจจุบันเป็น 0.25%
เครก เออแลม นักวิเคราะห์จากแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ OANDA กล่าวว่า “สองสามวันที่ผ่านมานี้ไม่ใช่วันที่ดีที่สุดของทองคำ โดยแผนของเฟดไม่เอื้ออำนวยต่อการปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งของทองคำ”
“การประชุม (เฟด) เป็นไปในทางที่ดี แต่ก็ดันทองคำร่วงลงไปที่แนวรับ 1,780 ดอลลาร์ – ก่อนที่จะร่วงลงอีกครั้ง แนวโน้มในระยะสั้นไม่ค่อยดีนัก โดยบททดสอบครั้งต่อไปจะอยู่ที่แนวรับ 1,740 ดอลลาร์และ 1,700 ดอลลาร์”
ทองคำได้รับแรงกดดันเป็นพิเศษในวันพฤหัสบดีหลังจาก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นเหนือ 1.4% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม อัตราผลตอบแทนเป็นตัวบ่งชี้ถึงความคาดหวังของตลาดต่ออัตราเงินเฟ้อที่แท้จริง และความรวดเร็วที่เฟดจะต้องตอบสนองต่อแรงกดดัน
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ย้ำว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2% ต่อปี เนื่องจากต้นทุนการทำธุรกิจที่สูงขึ้นในระบบเศรษฐกิจ หลังเกิดโรคระบาด
ตลาดได้แสดงให้เห็นอย่างสม่ำเสมอว่ามีความเชื่อมั่นเพียงเล็กน้อยที่เฟดจะสามารถยับยั้งอัตราเงินเฟ้อและส่งผลตอบแทนพันธบัตรไปสู่ระดับสูงสุดในรอบหลายปีตั้งแต่สิ้นปี 2020 เพื่อสะท้อนถึงสิ่งนั้น ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีเงินปันผลหรือดอกเบี้ย แต่ได้ชื่อว่าเป็นหลุมหลบภัยสำหรับนักลงทุน กลายเป็นเหยื่อรายสำคัญของการปรับขึ้นผลตอบแทน
ส่วน China Evergrande Group ได้บรรเทาความกังวลชั่วคราวจากวิกฤตหนี้ที่เกิดขึ้น หลังบริษัทพัฒนาอสังหาบรรลุข้อตกลงในการชำระดอกเบี้ยพันธบัตรในประเทศ ในขณะที่ธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีนได้อัดฉีดเงินสดเข้าสู่ระบบธนาคารด้วย
ปัจจัยหลักกดดันทองคำลงมาจาก
(1.) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่ทะยานขึ้นสู่ระดับ 1.4387% ซึ่งระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนก.ค. หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดทางสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยอย่างเร็วสุดภายในปีหน้า และ
(2.) ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแก่รง เนื่องจากนักลงทุนในตลาดหุ้นมีปฏิกิริยาเชิงบวกต่อท่าทีของเฟด เกี่ยวกับการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการเงินและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ไม่มีเซอร์ไพรส์และสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด ประกอบกับนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับ สถานการณ์ของเอเวอร์แกรนด์หลังมีรายงานว่าธนาคารกลางจีนได้อัดฉีดเงินจำนวนมากเข้าสู่ตลาด
สถานการณ์ดังกล่าวกระตุ้นแรงขายสินทรัพย์ปลอดภัยในวงกว้าง ซึ่งรวมถึงทองคำและ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และแรงขายพันธบัตรเป็นอีกปัจจัยที่หนุนบอนด์ยีลด์ให้ทะยานขึ้นอีกด้วย
สำหรับวันนี้ 21:00 น. (ตามเวลาไทย) ติดตามการเปิดเผยถ้อยแถลงของเจ้าหน้าเฟดหลายรายรวมถึงประธานเฟดในอีเว้นท์ Fed Listens และการเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่
มุมมองทองคำด้วยเทคนิคเทรนไลน์ จากกราฟรายวัน + RSI
ราคาทองคำพยายามสร้างฐานและพยายามทรงตัว หลังจากวานนี้ราคาทิ้งตัวลงแรง ทองคำปรับตัวขึ้นแตะโซนแนวต้านบริเวณ $1,755 หากสามารถยืนราคานี้ทองคำมีโอกาสขึ้นกลับไปแนวต้านถัดไปได้ หากราคาไม่สามารถผ่านโซนแนวต้านบริเวณ $1,755 หากราคาลงมาบริเวณโซนแนวรับ$1,740-$1,738 แล้วยืนได้ และรับอยู่ ก็สามารถเข้าซื้อได้ แต่หากหลุดโซนนี้ ไม่แนะนำให้เข้าซื้อเพราะอาจมีการปรับฐานลึกว่าเดิมโดยมีแนวรับรออยู่บริเวณ $1,727 – $1,720
ส่วน RSI ในการใช้ประกอบกับเทรนไลน์ ราคาทองคำยืน เหนือบริเวณ $1,740-$1,738 สัญญาณ RSI คงยืน 36.19 ได้เป็นแน่ สัญญาณ Bullish divergence จะยังคงอยู่แต่หากหลุดก็แนะนำว่าอย่าเพิ่งรีบเข้าซื้อ รอสัญญา Bullish divergence ใหม่อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการคาดการณ์เป็นเพียงมุมมองส่วนตัวเท่านั้น ไม่ใช่ข้อสรุปหรือการชี้นำตลาด และอาจเกิดข้อผิดพลาดได้เสมอ ดังนั้นโปรดใช้วิจารณาญของท่านในการตีความและวิเคราะห์
References :
1. https://th.investing.com/news/
2. https://th.investing.com/analysis/