รู้หรือไม่ – จากรายงานของนายแพทย์ประจำทำเนียบขาววันนี้ระบุอาการของ ทรัมป์ ว่ายังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
หลังคำยืนยันผลการทดสอบเชื้อโคโรน่าไวรัสที่เป็นบวกของปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เมื่อช่วงเที่ยงของวันนี้ ก็ดูจะสร้างความผันผวนขึ้นในตลาดการค้าทั่วโลก
เพียงแค่ 2 ชม.หลังการเปิดเผยอาการป่วยด้วยโรค COVID-19 ของ โฮป ฮิคส์ หนึ่งในที่ปรึกษาคนสนิทของเขา ทรัมป์ ก็ออกมาทวีตข้อความว่า เขาและ เมลาเนีย สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งจะเริ่มต้นกระบวนการกักตัวและเข้ารับการรักษาโรคในทันที
หลังจากนั้นไม่นานดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สก็ดิ่งลงกว่า 450 จุดก่อนจะอยู่ในระดับที่ลดลง 355 จุด ณ เวลา 14:10 น. เฉกเช่นเดียวกับตลาดหุ้นในเอเชียที่ปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปก็เริ่มต้นของวันด้วยตัวเลขติดลบ
ในขณะเดียวกันตลาดซื้อขายทองคำก็มีการเคลื่อนไหวในทิศทางบวกหลังได้รับรายงานเกี่ยวกับ ทรัมป์ ซึ่งตรงข้ามกับตลาดน้ำมันดิบทั้งในส่วนของเบรนท์และ WTI ที่มีราคาดิ่งลงประมาณ 3% ในช่วงเวลาประมาณ 15:00 น.
ส่วนตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศก็มีการตอบสนองต่อประกาศนี้เช่นกัน เมื่อฟรังก์สวิส, เยน และดอลลาร์ ที่ถูกพิจารณาว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในแง่ของสกุลเงินหลักต่างก็มีมูลค่าขยับขึ้น
CEO ของ Thorpe Abbotts Capital ได้กล่าวไว้ว่า ข่าวของ ทรัมป์ จะกลายเป็นแรงกระตุ้นให้ COVID-19 กลับมาอยู่ในจุดสนใจของนักลงทุนอีกครั้ง พร้อมกับทิ่มแทงความเชื่อที่ว่าสหรัฐฯกำลังฟื้นตัวจากภาวะวิกฤตได้อย่างเข้มแข็ง
เขายังเสริมอีกว่า ประกาศดังกล่าวจะยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนในด้านการเมืองที่อยู่รายล้อมการเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯในวันที่ 3 พ.ย. ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของตลาด และผลการติดเชื้อของ ทรัมป์ ก็ถือเป็นตัวเปลี่ยนเกมของพฤติกรรมในตลาดระยะสั้น
นอกจากนี้มันยังช่วยปลุกความจริงที่ว่า เรายังมีโอกาสเผชิญหน้ากับการระบาดระลอกที่สอง โดยการติดเชื้อไวรัสของ ทรัมป์ ได้กลายเป็นไฮไลต์สำคัญที่จะทำให้ทุกคนหันกลับมาโฟกัสถึงสถานการณ์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
หนึ่งในปัจจัยหลักที่อาจเข้ามาช่วยชดเชยความเสี่ยงในด้านลบของตลาด ก็คือความคืบหน้าของรัฐบาลวอชิงตันที่มีต่องบเยียวยาปัญหาของเชื้อไวรัสก้อนถัดไป โดยการหาข้อสรุประหว่าง สตีเวน มนูชิน รมว.คลังและ แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ
กรรมการผู้จัดการของ JB Capital ได้กล่าวไว้ว่า ผู้คนกำลังอยู่ในอาการมึนงงกับข่าวที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเชื้อไวรัส และการได้ข้อสรุปของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตัวใหม่ก็อาจเข้ามาช่วยบรรเทาความรู้สึกนี้ได้
หลังได้รับผลการตรวจเชื้อที่เป็นบวก ก็ทำให้ ทรัมป์ กลายเป็นผู้นำของประเทศที่เดินตามรอยของนายกฯ บอริส จอห์นสัน แห่งสหราชอาณาจักรวัย 56 ปี และปธน. ชาอีร์ โบลโซนาโร แห่งบราซิลวัย 65 ปี
ซึ่งในกรณีที่ ทรัมป์ ต้องเข้ารับการรักษาตัวด้วยวัย 74 ปีในปัจจุบัน และอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะต้องหยิบยกบทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 25 ตามมาตราที่ 3 มาใช้
โดยจะเป็นการเปิดทางให้กับรองปธน. ไมค์ เพนซ์ ได้เข้ามาทำหน้าที่รักษาการปธน.สหรัฐฯไปจนกว่าเขาจะเป็นผู้แจ้งต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาถึงความสามารถในการกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้อีกครั้ง
แต่ในกรณีที่ ทรัมป์ มีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถร้องขอมาตราที่ 3 ได้ด้วยตนเอง ก็จะมีทางออกเป็นมาตราที่ 4 สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว
โดยรองปธน.และคณะรัฐบาลส่วนใหญ่จะยื่นคำร้องไปยังสภาทั้งสองถึงสถานการณ์ที่ปธน.ไม่สามารถถ่อยทอดอำนาจได้ด้วยตนเอง ซึ่งก็จะลงเอยด้วยการให้รองปธน.เป็นผู้รักษาการแทนไปจนกว่าปธน.จะฟื้นกลับมาทำหน้าที่ด้วยตนเองได้
References :
https://www.cnbc.com/2020/10/02/what-trumps-coronavirus-diagnosis-could-mean-for-markets.html
https://www.cnbc.com/2020/10/02/coronavirus-trump-has-covid-19-heres-what-happens-next.html