รู้หรือไม่ – มีรายงานเมื่อสัปดาห์ก่อนถึงกลุ่มแฮกเกอร์จากรัสเซียที่คาดว่าต้องการล้วงข้อมูลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ
แม้จะมีการออกมาตรการกีดกันและการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงปรากฏออกมาบ้าง แต่รัสเซียก็ไม่ได้มองว่านโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้การชี้นำของปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นปัญหาต่อพวกเขามากนัก
อย่างไรก็ตามมุมมองดังกล่าวก็อาจจะแปรเปลี่ยนไป หาก โจ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตกลายเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯในวันที่ 3 พ.ย.นี้ ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มองไปถึงอนาคตความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
อย่างน้อยที่สุดนักวิเคราะห์หลายคนก็เชื่อว่า การครองตำแหน่งผู้นำประเทศของ ไบเดน จะสร้างความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลวอชิงตันและมอสโกให้มากขึ้น และอาจเพิ่มโอกาสของการออกมาตรการคว่ำบาตรระลอกใหม่ต่อรัสเซีย
ปัจจุบันสหรัฐฯได้มีมาตรการกีดกันต่อบางภาคส่วนที่สำคัญและเจ้าหน้าที่หลายคนที่ใกล้ชิดกับปธน. วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย โดยไล่มาตั้งแต่วิกฤตการณ์ไครเมียในปี 2014, การแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯปี 2016 และการวางยาพิษอดีตสายลับรัสเซียใน UK เมื่อปี 2018
ผู้เชี่ยวชาญจาก Teneo บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจชื่อดังได้กล่าวไว้ว่า การเข้ามาของ ไบเดน จะเป็นการปรับปรุงความสัมพันธ์ในภูมิภาคแอตแลนติกระหว่างสหรัฐฯและยุโรป ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นฟูพันธสัญญาที่มีกับ NATO ของสหรัฐฯ
ในขณะที่การเคลื่อนไหวดังกล่าวจะสร้างความยินดีให้กับฝั่งยุโรป แต่มันกลับจะส่งผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกับรัสเซีย เมื่ออ้างอิงไปถึงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมากับความสัมพันธ์ที่ห่างเหินระหว่างทำเนียบเครมลินกับทำเนียบขาวภายใต้ยุคของพรรคเดโมแครต
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์จาก Bluebay Asset Management กลับมองว่า มาตรการคว่ำบาตรระลอกใหม่ที่กระทำต่อรัสเซียมีแนวโน้มที่จะไม่เกิดขึ้นในทันที
เนื่องจากผู้ที่จะเข้ามาเป็นที่ปรึกษาด้านกิจการของรัสเซียให้กับ ไบเดน มีแนวโน้มที่จะมากไปด้วยประสบการณ์และมีไหวพริบที่ดี พวกเขาคงไม่ต้องการจะออกมาตรการใหม่เพียงเพราะแค่อยากจะเข้าแทรกแซงฝ่ายตรงข้าม
มันเป็นสิ่งสำคัญที่สหรัฐฯจะต้องดำเนินความสัมพันธ์ในลักษณะเหมือนคู่ค้าทางธุรกิจกับรัสเซีย เพื่อการรับรองผลประโยชน์ในเชิงกลยุทธ์ของตนเอง จึงทำให้พวกเขาจำเป็นจะต้องดำเนินการต่าง ๆ อย่างพอเหมาะและสมเหตุสมผล
ภายในยุคสมัยของ ไบเดน ทั้งสองประเทศจะต้องเรียนรู้จุดที่พวกเขาจะต้องอดทนอดกลั้นต่ออีกฝ่าย และสามารถเดินไปด้วยกันได้ในพื้นที่ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน เช่น การควบคุมอาวุธเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งระหว่างกัน
การควบคุมอาวุธ ถือเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายมองว่าจะเป็นจุดที่ทั้งสองประเทศพอจะปรองดองกันได้ ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อปี 2019 ไบเดน ก็ได้เคยกล่าวถึงการขยายสนธิสัญญาลดอาวุธยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ (New START)
ถึงแม้ข้อตกลง New START ดูเป็นสิ่งที่น่าจะมีความคืบหน้าหาก ไบเดน ได้ครองตำแหน่งปธน.สหรัฐฯ แต่หากพิจารณาถึงเรื่องเส้นเวลาก็ดูจะเป็นปัญหาที่ท้าทายอยุ่ไม่น้อย เนื่องจากกำหนดการปัจจุบันที่กำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 5 ก.พ. 2021
ทางฝั่งรัสเซียก็รับทราบดีว่า การควบคุมอาวุธอาจเป็นความเคลื่อนไหวในด้านบวกเพียงเรื่องเดียวภายใต้รัฐบาลของ ไบเดน โดย ปูติน ก็ได้เคยกล่าวถึงถ้อยคำเสียดแทงในเชิงต่อต้านรัสเซียของ ไบเดน ไปเมื่อช่วงต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ปูติน ก็ยังให้การสนับสนุนความเห็นของ ไบเดน ถึงกรณีที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งสนธิสัญญาควบคุมอาวุธฉบับใหม่หรือการขยายสนธิสัญญา New START เดิมออกไป
References :
https://www.cnbc.com/2020/10/20/why-russia-could-be-worried-about-a-biden-presidency.html