รู้หรือไม่ – ผู้ที่ได้ครองตำแหน่งปธน.สหรัฐฯคนต่อไปจะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. ปีหน้า
การเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯในเดือนพ.ย.นี้กำลังถูกจับตามองจากผู้นำระดับโลกหลายคนที่สนิทสนมและมีความสัมพันธ์อันดีกับปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จากการแชร์หลักการพื้นฐานในด้านการเมืองร่วมกัน
หาก ทรัมป์ เป็นฝ่ายปราชัยในการเลือกตั้งครั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่ามันอาจส่งผลต่อทิศทางด้านการเมืองในอนาคตของผู้นำสายประชานิยมคนอื่น ๆ ตั้งแต่ มัตเตโอ ซิลวินี อดีตรองนายกฯอิตาลี ไปจนถึงนายกฯ นเรนทระ โมที แห่งอินเดีย
ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยในกรุงเวียนนาได้กล่าวไว้ว่า ทรัมป์ ในฐานะผู้นำที่มีอำนาจสูงสุดของโลกและอยู่ในสายประชานิยม การรักษาตำแหน่งของตนเองเอาไว้ไม่ได้ในเดือนพ.ย.นี้ จะกลายเป็นผลเสียที่รุนแรงต่อบรรดานักปกครองในสายนี้
โดยหลักการผู้นำสายประชานิยมต้องการจะเปลี่ยนแปลงสถานะของประเทศในเวทีระดับนานาชาติ โดยวิธีการท้าทายกรอบข้อบังคับตามระบบพื้นฐานสากล ซึ่งพวกเขามีความจำเป็นจะต้องพึ่งพากลุ่มพันธมิตรในการกระทำเช่นนี้
หากไล่เรียงมาตั้งแต่การ Brexit ไปจนถึงการเลือกตั้งของปธน. ชาอีร์ โบลโซนาโร แห่งบราซิล นักการเมืองและพรรคการเมืองฝ่ายประชานิยมทั่วโลกต่างมีแนวทางที่ไม่แตกต่างไปจากสิ่งที่ ทรัมป์ กระทำลงไป
พวกเขาต่างเลือกที่จะโน้มเอียงออกไปทางฝั่งขวาและพยายามโปรโมตนโยบายชาตินิยม เน้นการต่อต้านระบบและใช้นโยบายกีดกันผู้อพยพ รวมถึงตั้งข้อสงสัยและบ่อยครั้งที่อาจล่วงเลยไปจนถึงขั้นปฏิเสธความสำคัญของหลักโลกาภิวัตน์
การคว้าตำแหน่งปธน.ของ ทรัมป์ ในปี 2016 ดูจะเป็นจุดพีคของกระแสชาตินิยมทั่วโลก ซึ่งภายในปีเดียวกันนั้นสหราชอาณาจักรก็เลือกโหวตที่จะถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป หลังได้รับการวิ่งเต้นอย่างหนักจากพรรคเอกราชสหราชอาณาจักร (UKIP)
ด้วยแนวคิดที่คล้ายคลึงกับประชาชนชาว UK ซึ่งคาดหวังว่า การถอนตัวออกจาก EU จะช่วยส่งเสริมอำนาจให้กับพวกเขาและเพิ่มแรงกระตุ้นเรื่องปริมาณงานในประเทศ โดย ทรัมป์ ก็ได้ให้คำสัญญาว่า “จะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”
แต่หลังใกล้ครบวาระ 4 ปีท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับแนวทางการรับมือกับปัญหาเชื้อไวรัสและสภาพเศรษฐกิจที่กำลังเสียหายอย่างหนัก โพลทุกสำนักต่างชี้ตรงกันว่าเขาอาจจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับ โจ ไบเดน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต
จากผลสำรวจล่าสุดของสำนักข่าว NBC News ระบุว่า ไบเดน มีคะแนนนำหน้า ทรัมป์ อยู่ 10 หน่วยเปอร์เซ็นต์ พร้อมกับเผยว่า ปธน.สหรัฐฯกำลังสูญเสียความนิยมในกลุ่มผู้สูงวัย และกำลังเผชิญหน้ากับความเสื่อมศรัทธาจากกลุ่มผู้มีการศึกษาสูงโดยเฉพาะในเพศหญิง
ย่างไรก็ตามนักเขียนจากนิตยสาร The Atlantic ได้ให้ความเห็นว่า แม้ ทรัมป์ จะทรงอำนาจและถือเป็นมิตรสหายที่สำคัญต่อผู้นำทั่วทั้งภูมิภาคแอตแลนติก แต่การลงจากเก้าอี้ในทำเนียบขาวก็ไม่ได้มีกำลังเพียงพอที่จะสั่นคลอนเสียรภาพของผู้นำคนอื่น ๆ
เพราะจากการที่เขาดูมีความใกล้ชิดกับนายกฯ โมที แห่งอินเดีย, นายกฯ เบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิราเอล แรวมถึงผู้นำคนอื่น ๆ ที่ล้วนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการผูกมิตรกับผู้มีอำนาจสั่งการในทำเนียบขาว
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผู้นำที่มีแนวคิดเดียวกันหลายคนจะเชียร์ให้เขาเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า หาก ทรัมป์ พ้นจากตำแหน่งไปแล้วจะกลายเป็นการล่มสลายของกลุ่มผู้นำสายชาตินิยม
References :