รู้หรือไม่ – BP พึ่งเปิดเผยผลประกอบการรายปีที่ขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีด้วยตัวเลข $5.7 พันล้าน
ด้วยปัญหาภาวะโลกร้อนและภาวะวิกฤตจากโรคระบาดกำลังทำให้กลุ่มบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่เริ่มแบ่งออกไป 2 ฝ่าย ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างก็คาดหวังถึงผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ที่รอคอยพวกเขาอยู่ในอนาคตข้างหน้า
กลุ่มแรกคือบรรดากิจการจากทวีปยุโรปทั้ง BP, Shell และ Total ที่กำลังพยายามเบนเข็มจากการเป็นผู้ผลิตน้ำมันและแก๊สโดยมีเป้าหมายในการปฏิรูปบริษัท ในขณะที่บริษัทจากสหรัฐฯอย่าง ExxonMobil และ Chevron คือกลุ่มที่คาดหวังว่าน้ำมันจะหวนกลับมาบูมได้อีกครั้ง
จากรายงานผลประกอบการล่าสุด ทั้ง 2 ฝ่ายต่างได้รับผลกระทบอย่างหนักตลอดทั้งปี 2020 แต่ในขณะที่ BP และ Shell สามารถประกาศแนวความคิดริเริ่มในด้านพลังงานสะอาด แต่ฝั่งผู้ผลิตจากสหรัฐฯกำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากนโยบายสิ่งแวดล้อมของคณะรัฐบาลชุดใหม่
กลุ่มบริษัทจากยุโรปเริ่มวางเส้นทางเดินใหม่ของตนเองตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยพวกเขาต่างให้คำมั่นในการลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกจากการดำเนินการไปจนถึงระดับที่เป็นศูนย์ภายในปี 2050 รวมถึงการวางแผนไลน์ธุรกิจใหม่เพื่อชดเชยกับอุปสงค์ของน้ำมันที่ลดลง
BP ได้เผยถึงความตั้งใจที่จะลดกำลังการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลลง 40% ภายในปี 2030 และเพิ่มการลงทุนในด้านพลังงานสะอาดขึ้น $5 พันล้านต่อปี หลังมีความเชื่อว่าปริมาณการใช้น้ำมันทั่วโลกว่าจะไม่มีทางกลับขึ้นไปถึงระดับเดียวกับเมื่อปี 2019 อีกแล้ว
ทางด้าน Shell ก็ต้องการให้ความสำคัญกับธุรกิจพลังงานสะอาดและการสร้างธุรกิจค้าปลีกของตนเอง โดยเน้นไปที่การขายพลังงานไฟฟ้าจากเครือข่ายสถานีชาร์จพลังงานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีรายงานถึงการประกาศแผนอย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้า
และจากเดือนที่ผานมา Total กิจการสัญชาติฝรั่งเศสก็กลายเป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่เจ้าแรกที่ประกาศตัดความสัมพันธ์กับสถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกา (API) ตามเสียงสนับสนุนของนโยบายการรักษาสภาพภูมิอากาศภายในบริษัท
บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างพากันกล่าวถึงความยากลำบากและความท้าทายของกลุ่มบริษัทน้ำมันจากยุโรปในการพยายามโน้มน้าวผู้ถือหุ้น ให้คล้อยตามถึงผลตอบแทนจากธุรกิจใหม่ และความสามารถในการปรับเปลี่ยนตนเองไปสู่ธุรกิจพลังงานสะอาด
แต่ในส่วนของกิจการสัญชาติอเมริกันนั้นดูจะน่าเป็นห่วงยิ่งกว่า จากที่พวกเขายังคงพยายามต่อต้านการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ โดย Exxon ยังอยู่ระหว่างการงัดข้อกับกลุ่มนักลงทุนสายรักษ์โลกที่เรียกร้องให้มีการทบทวนนโยบายของบริษัท
โดยทางบริษัทได้ประกาศไว้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ว่า ได้มีการสร้างธุรกิจใหม่พร้อมกับเทคโนโลยีที่จะช่วยในการดึงแก๊สคาร์บอนออกมาจากชั้นบรรยากาศ และยังมีการลงทุนอีก $3 พันล้านไปจนถึงปี 2025 สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้ลดแก๊สเรือนกระจก
อย่างไรก็ตามบริษัทจากสหรัฐฯอาจต้องยอมเปลี่ยนแปลงตนเองตามนโยบายของรัฐบาลในท้ายที่สุด จากการที่ปธน. โจ ไบเดน ชูประเด็นการต่อสู้กับปัญหาภาวะโลกร้อนไว้เป็นเป้าหมายลำดับต้น ๆ หลังการประกาศนำพาประเทศกลับเข้าร่วมความตกลงปารีสในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง
และยังมีการแต่งตั้ง จอห์น เคอร์รี ขึ้นเป็นผู้แทนพิเศษว่าด้วยประเด็นสภาพภูมิอากาศคนแรกของสหรัฐฯ เพื่อเตรียมเข้าร่วมประชุมงาน Climate Change Conference ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งน่าจะนำไปสู่เป้าหมายของการควบคุมปริมาณแก๊สเรือนกระจกสำหรับช่วงทศวรรษหน้า
References :
https://edition.cnn.com/2021/02/03/energy/oil-companies-climate/index.html