ตลาดทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นระยะยาวแต่ยังจำเป็นที่จะต้องก้าวข้ามผ่านช่วงของการปรับฐานราคาในเวลานี้ ตามผลการประเมินของบริษัทจัดการลงทุน Haywood Securities ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวานนี้
จากรายงานได้อัปเดตคำทำนายว่า ราคาเฉลี่ยของทองคำในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ $1,800 ซึ่งลดลงจากผลประเมินครั้งก่อนที่ $1,815 และค่าเฉลี่ยของปีหน้าถูกปรับลดจากเดิมที่ $1,900 ลงมาเหลือ $1,850 แต่ขยับตัวเลขของปี 2023 จากครั้งก่อนที่ $1,800 ขึ้นไปเป็น $1,900
นักวิเคราะห์ของ Haywood ได้กล่าวไว้ว่า ทองคำจะเผชิญกับความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าในระยะสั้นจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการขยับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่มีแรงหนุนมาจากความคาดหวังของการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น
ปัจจุบันตลาดและนักลงทุนต่างกำลังคาดหวังถึงการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินให้รัดกุมขึ้นโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งยังประกอบไปด้วยการลดระดับการเข้าซื้อพันธบัตรในแต่ละเดือนก่อนสิ้นสุดปีนี้ และโอกาสเร็วสุดของการปรับอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปีหน้า
อย่างไรก็ตามหากมองถึงองค์ประกอบสำหรับตลาดกระทิง นักวิเคราะห์ก็ได้กล่าวถึงการชะลอตัวของอัตราการเติบโตและการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อที่ยังอาจนำไปสู่ภาวะ Stagflation ซึ่งกำลังหล่อหลอมจนกลายเป็นปัจจัยแวดล้อมในด้านบวกให้กับโลหะมีค่า
ซึ่งจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทองคำจะมีสถานะที่ดีระหว่างการเกิด Stagflation หรือภาวะที่เศรษฐกิจซบเซาแต่อัตราเงินเฟ้อกลับสูงขึ้น และในช่วงที่เกิดความผันผวนของตลาดโดยจะช่วยรักษามูลค่าของต้นทุน
นอกเหนือจากเรื่องที่ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้, แลกเปลี่ยนได้ และเก็บรักษามูลค่าได้ Haywood ยังเชื่อมั่นในความเกี่ยวโยงของโลหะมีค่าที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว ในขณะที่ปัจจัยในระยะเวลาที่ยาวกว่าสำหรับเศรษฐศาสตร์มหภาคก็ยังดูเข้มแข็ง
แม้จะมีการมองว่าราคาทองคำอาจเกิดการสะดุดลงระหว่างปี 2022 แต่นักวิเคราะห์ของ Haywood ก็ยังเล็งเห็นคุณค่าของภาคส่วนเหมืองทองคำที่ถูกประเมินต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง โดยชี้ไปถึงโอกาสเติบโตและผลตอบแทนที่อยู่ประมาณ 6.85%
มุมมองของนักวิเคราะห์จาก Haywood ยังสอดคล้องกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัทจัดการลงทุน Wilshire Phoenix ที่เผยว่าไม่รู้สึกแปลกใจกับอาการแผ่วของทองคำเนื่องจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปีจนเข้าใกล้สถิติสูงสุดในรอบ 3 เดือน
อย่างไรก็ตามเขายังคงเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและโอกาสเกิดภัยคุกคามจากภาวะ Stagflation จะบีบให้นักลงทุนต้องประเมินถึงปัจจัยในการลดความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ โดยตลอด 5 เดือนหลังสุดดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในสหรัฐฯอยู่ที่ระดับสูงกว่า 5%
แต่ในอีกมุมหนึ่งแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อก็อาจส่งผลต่อ Fed ให้ทำการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินให้รัดกุมยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลลัพธ์ตรงกันข้ามกับราคาทองคำ ในขณะที่ตัวเขากลับไม่รู้สึกถึงการอ่านขาดในสถานการณ์เงินเฟ้อจาก Fed
นอกจากนี้ปัจจัยแวดล้อมของอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันก็ไม่ได้มาจากความต้องการของผู้บริโภคแต่เกิดจากปัญหาการติดขัดในระบบซัพพลายเชน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่ตลาดจะได้เห็นโมเมนตัมครั้งใหม่ของตลาดกระทิง
References :