หลังจากการขยับขึ้นไปสร้างสถิติสูงสุดที่ $2,075 ในปีก่อน ทองคำก็กลับเข้าสู่ช่วงของการปรับฐานราคา ในขณะที่ภาวะวิกฤตของ COVID-19 ก็คอยเข้ามาสะกิดให้นักลงทุนมองหาช่องทางหลีกเลี่ยงความเสี่ยงสำหรับพอร์ตลงทุนของตนเอง
แต่จากการวิเคราะห์ของบริษัทโบรกเกอร์ SAXO Markets ก็ได้เปิดเผยว่า การปรับฐานราคาครั้งนี้อาจมีการลากยาวออกไปเนื่องจากปัจจัยจากคริปโทเคอร์เรนซี, ความคาดหวังว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลง และการแข็งค่าของดอลลาร์ จนทำให้มนต์ขลังของทองคำดูจะจางหายไป
โดยหลังจากการทะยานขึ้นจากจุดต่ำสุดของเดือนมี.ค.จนทะลุกรอบแนวโน้มขาลง การเคลื่อนไหวของราคาทองคำก็ขยับลงมาอยู่แถวระดับ 61.8% ของเส้น Fibonacci ที่ลากขึ้นมาตั้งแต่มี.ค.จนถึงพ.ค.ที่ $1769 แถมยังลงมาจนเกือบจะถึงระดับ 76.4% ที่ราคา $1,734 ด้วยซ้ำ
และหากทิศทางการฟื้นตัวยังคงยืนเหนือระดับแนวต้านที่ $1,797 ได้อย่างมั่นคง ก็ยังมีโอกาสที่มันจะกลับไปสู่บริเวณของเส้น MA แถวระดับ $1831-35 โดยสัญญาณ RSI ของตลาดหมีที่ยังไม่กลับตัวจะหมายถึงความเสี่ยงในระยะสั้นที่มีแนวโน้มขาลง
นอกจากนี้นักวิเคราะห์หลายคนยังเชื่อว่า การฟื้นตัวของทองคำอาจดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงปลายปีนี้หรือข้ามไปจนถึงปีหน้า โดยย้ำไปถึงแนวโน้มของการลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถปกป้องความเสี่ยงจากมุมมองของเศรษฐกิจที่อาจกลับกลายเป็นด้านลบ
ยังมีปัจจัยอื่น ๆ จากกลุ่มสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงอย่าง Bitcoin ที่แม้ในปี 2020 ค่าสหสัมพันธ์ระหว่างทองคำและ BTC จะขยับขึ้นไปอยู่เหนือ 0.5 ภายในกรอบระยะเวลา 60 วัน แต่หลายฝ่ายก็เชื่อว่า BTC ยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่ทองคำได้
แต่ในอีกมุมหนึ่งจากภาวะวิกฤตล่าสุดก็ได้เผยให้เห็นถึงความจริงข้อหนึ่งว่า แม้จะมีการกล่าวถึงทิศทางการฟื้นตัวในด้านบวกแต่ก็ยังคงแฝงไปด้วยโอกาสของความเสี่ยง ซึ่งมุมมองดังกล่าวจะทำให้ความสนใจในการลงทุนทองคำขยับสูงขึ้นในระยะยาว
โดยนักลงทุนอาจใช้จังหวะของราคาที่ลดลง ระหว่างช่วงของสถานการณ์ที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวซึ่งจะถูกมองว่าเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้กระโดดขึ้นรถมาก่อนหน้านี้ ในขณะที่ความผันผวนของราคา BTC ยังอาจเป็นแรงกระตุ้นให้กับแนวโน้มของการลงทุนในทองคำ
นอกจากนี้หลายฝ่ายก็กำลังเฝ้าติดตามในประเด็น Basel III หลักเกณฑ์ใหม่ที่เริ่มมีผลบังคับใช้กับธนาคารส่วนใหญ่ของยุโรปตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อกันว่าจะเป็นการส่งเสริมสภาพคล่องและมีส่วนผลักดันให้ราคาทองคำขยับสูงขึ้น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญกว่าภายใต้หลักเกณฑ์ใหม่นี้ก็คือ ทองคำประเภทที่มีกรรมสิทธิ์ถือครองจะถูกจัดกลุ่มใหม่ให้เป็นสินทรัพย์ที่ปราศจากความเสี่ยง ในขณะที่พวกไม่มีกรรมสิทธิ์ถือครองหรือทองกระดาษก็จะยังอยู่ในประเภทสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่อไป
ด้วยหลักเกณฑ์ Basel III ธนาคารใน EU จะต้องกำหนดสภาพคล่องใหม่ให้ตรงตามหลักเกณฑ์การดำรงแหล่งที่มาของเงินให้สอดคล้องกับการใช้ไปของเงิน (NSFR) ซึ่งหมายถึงการใช้เงินทุนเพิ่มขึ้นสำหรับการจัดการธุรกรรมกับพวกทองกระดาษ
จากต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับการถือครองทองกระดาษก็มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่กิจกรรมต่าง ๆ ที่ลดลง ในขณะที่ทองคำจริงที่สามารถตัดต้นทุนในส่วนนี้ออกไปก็จะกลายเป็นที่ดึงดูดเพิ่มขึ้นและอาจส่งผลต่อการเทขายที่ลดลง
References :
https://www.benzinga.com/markets/commodities/21/07/21967817/is-gold-losing-its-mojo-among-investors