ราคาทองคําปรับตัวเพิ่มขึ้น ยืนเหนือ 1,800 หลังสหรัฐเผยดัชนี CPI +0.3% ในเดือนส.ค. ต่ำกว่าคาดการณ์ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า “อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอาจผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว” ซึ่งนั่น “บั่นทอน” แนวโน้มที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)จะเร่งปรับลด วงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์ , อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ร่วงลง
เป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทองคําทะยานขึ้นจากระดับราคาประมาณ 1,782 สู่ระดับ 1,808 กว่า 26 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังการประกาศ CPI เมื่อวานนี้
ช่วงเช้าแกว่งตัวในกรอบราคาประมาณ 1,800 -1,804 รับแรงหนุนต่อเนื่องจากการเปิดเผยตัวเลข CPI ปัจจัยสําคัญที่ทําให้ตัชนี CPI สหรัฐฯเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้นั้นเป็นผลมาจากการระบาดของไวรัสโควิต-19 สาย พันธุ์เดลต้ากระทบธุรกิจท่องเที่ยว ส่งผลให้ราคารถยนต์มือสองลดลง, ราคาตั๋วเครื่องบินที่ลดลง , และราคาประกันภัยรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาโรงแรม และค่าเช่ารถยนต์ก็ลดลงเช่นเดียวกัน
ซึ่งเป็นสัญญานที่บ่งชี้ว่าอุปสงค์ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางลดลง นอกจากนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ สังกัดพรรคเดโมแครต ได้เสนอให้ปรับเพิ่มภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate tax rate) จากระดับ 21% สู่ระดับ 26.5% รวมทั้ง เสนอให้ปรับขึ้นภาษีกําไรที่ได้จากการลงทุน (capital gains tax) และเงินปันผลขึ้นสู่ระดับ 28.8%
โดยนักลงทุนกังวลว่าการปรับเพิ่มอัตราภาษีดังกล่าวอาจ ส่งผลกระทบกับบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐฯในอนาคต เป็นปัจจัยกระตุ้นแรงซื้อกลับเข้าสู่ตลาดทองคํา
= สําหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม(Empire State Index), การผลิตภาคอุตสาหกรรม และอัตราการใช้กําลังการผลิตของ สหรัฐ =
มุมมองทองคำด้วยเทคนิคเทรนไลน์ จากราย 4 ชั่วโมง
ราคาทองคำยังแกว่งตัวในกรอบวันนี้ 1,798 – 1,804 จากเส้นเทรนไลน์ในภาพ ราคาทองคำกลับมายืนเหนือราคาบริเวณ 1,800 และยังลุ้นขึ้นต่อในรูแปบบ bull flag pattern โดยรูปแบบนี้ราคาไม่ควรหลุดต่ำกว่า 1,798 และหากสามารถ breakout กรอบราคาบนขึ้นได้ ก็สามารถไปแนวต้านถัดไปได้ ที่ราคา 1,809 – 1820 หากราคาไม่สามารถผ่านได้ แนะนำแบ่งขายทำกำไร หากราคาในวันหลุดร่วง 1,798 ให้ชะลอการเข้าซื้อและดูท่าทีการเข้าขาย เพราะราคาอาจปรับลงเพื่อสร้างฐานราคาใหม่ได้ โดยมีแนวรับตามลำดับ 1,795 – 1,787
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการคาดการณ์เป็นเพียงมุมมองส่วนตัวเท่านั้น ไม่ใช่ข้อสรุปหรือการชี้นำตลาด และอาจเกิดข้อผิดพลาดได้เสมอ ดังนั้นโปรดใช้วิจารณาญของท่านในการตีความและวิเคราะห์
References :
1. https://th.investing.com/news/
2. https://th.investing.com/analysis/