ราคาทองคําแกว่งตัวในกรอบแคบ 1,785 – 1,800 ขณะที่ดอลลาร์ทรงตัว เนื่องจากนักลงทุนรอดู ข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐซึ่งจะมีการรายงานในวันนี้
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จากบริษัท BMO กล่าวว่า หากดัชนี CPI เดือน ส.ค.พุ่งขึ้นรุนแรง ก็อาจทําให้เฟดกําหนดไทม์ไลน์ในการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเวลาที่รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้เขามองว่า หากดัชนี CPI พุ่งขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ก็อาจผลักดันให้เฟดเริ่มพิจารณาเรื่องการปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ย ส่งผลกดดันราคาทองคําไว้
ทองคำยังทรงตัวก่อนการประกาศตัวเลข CPI
นักวิเคราะห์ประเมินว่าตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่เป็นหนึ่งในมาตรวัดเงินเฟ้อประจำเดือนสิงหาคมจะมีตัวเลขลดลงมาเป็น 5.3% เทียบกับตัวเลข 5.4% ของเดือนกรกฎาคม แต่อย่าพึ่งดีใจไปว่านี่คือข่าวดี เพราะตัวเลขทั้งสองยังถือว่าอยู่ใกล้กับจุดสูงสุดของดัชนี CPI ในรอบสิบสามปีล่าสุด
ในช่วงที่ตลาดลงทุนฝั่งเอเชียเปิดทำการ ราคาซื้อขายทองคำล่วงหน้าปรับตัวขึ้นเล็กน้อย จากการปรับตัวลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกา ส่วนดอลลาร์สหรัฐยังทรงตัว ราคาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่จะส่งมอบในเดือนธันวาคม มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $1,794 คิดเป็นการปรับตัวขึ้นมา 0.1% สัปดาห์ที่แล้ว ราคาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่จะส่งมอบในเดือนธันวาคมปรับตัวลดลง 2.3% ถือเป็นการปรับตัวลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่สัปดาห์ของวันที่ 29 กรกฎาคม ขาลงครั้งนี้เป็นไม่กี่ครั้งที่เราได้เห็นราคาทองคำปรับตัวลงทั้งๆ ที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรครั้งล่าสุด (เดือนสิงหาคม) ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบเจ็ดเดือน
ที่จริงแล้ว เมื่อตัวเลขการจ้างงานฯ ออกมาเช่นนั้น นักลงทุนบางส่วนก็ได้ถอดใจเรื่องของการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ไปแล้ว แต่พอได้เห็นตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นเป็น 8.3% จึงทำให้ตลาดลงทุนกลับมามีความหวังเรื่องการลด QE อีกรอบ และส่งแรงกดดันนี้ไปถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยอ้างว่าธนาคารกลางของประเทศอื่นๆ ต่างเริ่มทยอยลดวงเงิน QE ของตัวเองลงกันหมดแล้ว
เมื่อเงินเฟ้อโตเร็วกว่าอัตราการเติบโต…ทุกคนจึงชี้ไปที่เฟด
ธนาคารกลางสหรัฐฯ ถูกกล่าวหาอย่างหนักว่าเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาอยู่ในขณะนี้ ตั้งแต่การระบาดเกิดขึ้น เฟดก็ได้ทำนโยบายเพื่อมสภาพคล่องให้กับเศรษฐกิจด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรและสินทรัพย์อื่นๆ จากรัฐบาลในวงเงิน $120,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังผ่อนคลายนโยบายดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 0.00% – 0.25% ตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2020 และคงไว้เช่นนั้นมาจนถึงปัจจุบัน
มาตรการดังกล่าวสามารถช่วยให้เศรษฐกิจอเมริกาที่เคยหดตัวลดลง 3.5% ในปี 2020 สามารถพลิกกลับขึ้นมาเป็นขยายตัว 6.5% ในไตรมาสที่สอง เป็นไปตามที่ธนาคารกลางต้องการ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาก็คือเงินเฟ้อขึ้นเร็วกว่าอัตราการเติบโตของประเทศ ดัชนีที่เป็นตัววัดเงินเฟ้อของเฟดต่างพากันปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างสังเกตได้ ดัชนีการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐานที่รวมราคาอาหารและพลังงานในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 3.6% สูงที่สุดนับคั้งแต่ปี 1991 ในขณะที่ดัชนีการบริโภคส่วนบุคคลที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.2% ส่วนระดับเป้าหมายเงินเฟ้อส่วนตัวของเฟดนั้นอยู่ที่ 2% ต่อปี
สุดท้ายคืนนี้เราต้องมาลุ้นกันว่า ตัวเลข CPI จะออกมามากกว่า หรือ น้อยกว่า คาดการณ์
- มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ก็อาจผลักดันให้เฟดเริ่มพิจารณาเรื่องการปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ย ส่งผลกดดันราคาทองคํา
- น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ เฟดอาจยังคงยืดเวลาออกไปในเรื่องการปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ย ส่งผลผลักดันราคาทองคํา
มุมมองทองคำด้วยเทคนิคเทรนไลน์ จากราย 4 ชั่วโมง
ราคาทองคำยังแกว่งตัวในกรอบระหว่างสัปดาห์ 1,785 – 1,800 จากเส้นเทรนไลน์ตอนนี้ ราคาทองคำไม่สามารถยืนเหนือเส้นเทรนไลน์บริเวณ 1,792 ได้ราคากลับมายังแนวรับใกล้บริเวณ 1,785 ถือเป็นเส้นแนวรับที่ควรระวัง หากหลุดราคานี้ลงไป และบวกกับตัวเลข CPI คืนนี้ออกมาสูง ไม่ควรเข้าไปรับหรือซื้อ อาจทำให้ราคาเทลงแรง อาจปรับตัวลงเพื่อปรับฐานราคาต่อ ให้ชะลอการเข้าซื้อหากหลุด 1,785 โดยมีแนวรับที่สามารถไปได้ 1,775 – 1,770 แต่หากราคาทองคําไม่หลุด แนวรับบริเวณ 1,785 บวกกับ CPI ออกมาต่ำ พิจารณาเข้าซื้อ สามารถขึ้นไปทำกำไรที่แนวต้านบริเวณ 1,800 – 1,802 หากราคาทองคำยืนบริเวรณนี้ได้ก็สามารถทำกำไรต่อได้ แต่หากไม่ผ่านแนะนำทยอยแบ่งขายทำกำไรที่บริเวณนี้
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการคาดการณ์เป็นเพียงมุมมองส่วนตัวเท่านั้น ไม่ใช่ข้อสรุปหรือการชี้นำตลาด และอาจเกิดข้อผิดพลาดได้เสมอ ดังนั้นโปรดใช้วิจารณาญของท่านในการตีความและวิเคราะห์
References :
1. https://th.investing.com/news/
2. https://th.investing.com/analysis/