นักลงทุนรุ่นใหม่เผยปัจจัยพื้นฐานของบิทคอยน์ยังไม่เปลี่ยนส่งผลให้ราคาปรับตัวขึ้นมาระดับ 40,000 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตามในเชิงกราฟเทคนิคบิทคอยน์ยังอยุ่ในภาวะขาลงในภาพใหญ่และยังมีโอกาสที่ปรับตัวลงต่อได้อีกครั้งจึงยังไม่ใช่เวลาที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในเวลานี้
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่าปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิทคอยน์ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงในด้านลบแต่อย่างไรส่งผลให้ราคาได้ปรับตัวขึ้นหลังลงไปเกือบทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ระดับ 30,000 ดอลลาร์มาอยู่ที่ระดับประมาณ 40,000 ดอลลาร์
เริ่มตั้งแต่บริษัทจดทะเบียนที่ถือครองบิทคอยน์อย่าง Tesla และ Microstrategy ต่างรายงานผลประกอบการไตรมาสสองออกมาต่างฝ่ายยังลงทุนบิทคอยน์ในสัดส่วนเท่าเดิมโดยไม่มีการขายออกไปแต่อย่างไร แม้มีการรายงานผลขาดทุนจากการถือครองบิทคอยน์เนื่องจากไตรมาสที่สองราคาได้ลงมาทำจุดต่ำสุดของปีนี้ บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบันที่มีต่อบิทคอยน์
ขณะที่ผลกระทบจากการที่ Grayscale Bitcoin Trust เปิดโอกาสให้สามารถขายหน่วยลงทุนได้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาบิทคอยน์มากเท่าไรนักแสดงว่าผู้ลงทุนระยะยาวในบิทคอยน์ยังคงเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาไม่ได้ปรับตัวลงแรงมากไปกว่านี้
ส่วนผลกระทบจากการที่ประเทศจีนสั่งห้ามการขุดบิทคอยน์ภายในประเทศส่งผลต่ออัตรากำลังขุด (Hash Rate) ที่ปรับตัวลงอย่างรวดเร็วในระยะสั้น แต่ตอนนี้อัตราดังกล่าวเริ่มปรับตัวขึ้นสู่ภาวะใกล้ปกติแล้วและผู้ที่เคยขุดบิทคอยน์ในประเทศจีนได้ทะยอยออกไปตั้งเหมืองใหม่ในต่างประเทศทำใหความกังวลในเรื่องดังกล่าวลดน้อยลง ภาพรวมแล้วปัจจัยพื้นฐานที่เคยมีความกังวลก่อนหน้านี้ได้คลายความสงสัยลง
ด้านปัจจัยมหภาคการที่ไวรัสโควิดสายพันธ์เดลต้าแพร่ระบาดไปทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงอีกครั้งน่าจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯไม่รีบที่จะออกนโยบายการเงินที่ตึงตัวอย่างเช่นการลดวงเงินคิวอีและเพิ่มดอกเบี้ยออกมามากนักซึ่งจะส่งผลดีต่อสินทรัพย์ทางเลือกอย่างบิทคอยน์ต่อไป
“ประเด็นที่รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลการเงินทั่วโลกต่างออกมาวางมาตราการคุมตลาดคริปโตโดยเฉพาะประเทศจีนไม่ใช่ประเด็นใหม่แต่มีมาอย่างต่อเนื่องหลายปีและอยากให้มองว่าบิทคอยน์และคริปโตเป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพที่จะเติบโตทำให้หน่วยงานกำกับดูแลต้องออกมาควบคุมและในเชิงเทคนิคแล้วไม่มีใครที่จะแทรกแซงบิทคอยน์ได้นอกจากการควบคุมธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามหากอนาคตผู้ประกอบธุรกิจต้องมาขอไลเซ่นส์น่าจะส่งผลดีต่อตลาดระยะยาวเนื่องจากเม็ดเงินบางส่วนน่าจะมีความเชื่อมั่นและไหลมาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลและน่าจะทำให้การหลอกลวงลดน้อยลง”
ในเชิงสถิติราคาบิทคอยน์หลังจากที่เกิด Halving แล้วราคาจะขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ โดยรอบนี้ขึ้นไปแตะระดับ 65,000 ดอลลาร์ และหลังจากนั้นราคาจะมีการปรับฐานครั้งใหญ่อย่างเช่นรอบที่ผ่านมาราคาลงมาแตะระดับต่ำสุดที่ 28,500 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่มีการปรับฐานใหญ่ จุดต่ำสุดของบิทคอยน์จะถูกยกสูงขึ้นทุกครั้ง จึงเป็นไปได้ว่าเราอาจไม่ได้เห็นราคาบิทคอยน์ต่ำกว่าหมื่นดอลลาร์อีกแล้ว
“เชื่อว่าตลาดจะไม่เข้าสู่ภาวะหมียาวนานเหมือนช่วงปี 2018-2019 เนื่องจากตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในภาพรวมได้เติบโตมาไกลมากแล้วมีเทคโนโลยีเกิดใหม่ไม่ว่าจะเป็น DeFi,NFT ตลอดจนการใช้งานที่เข้าสู่ Mass Adoption มากขึ้น จึงทำให้เชื่อว่าท้ายที่สุดตลาดจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้อีกครั้งซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในไตรมาสสี่ของปีนี้ เพราะการที่ราคาปรับฐานลงมาในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมและกินระยะเวลาปรับฐานประมาณสี่เดือนถือว่าสมเหตุผสมผลพอ”
อย่างไรก็ตามในเชิงกราฟเทคนิคภาพใหญ่ของบิทคอยน์ยังเป็นขาลงและหากนับเคลื่อน Elliot Wave ในรอบ Corrective Wave หรือรอบปรับฐาน ตอนนี้บิทคอยน์น่าจะกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวในขา B ซึ่งยังเหลือการปรับฐานลงในขา C อีกรอบเพื่อที่จะจบการปรับฐานใหญ่ โดยมีโอกาสที่การฟื้นตัวรอบนี้บิทคอยน์อาจจะขึ้นไปได้ถึงระดับ 45,000 ดอลลาร์ หรือเต็มที่ไม่เกิน 50,000 ดอลลาร์ ก่อนจะปรับตัวลงอีกครั้ง โดยการปรับฐานอีกครั้งจะลงได้ลึกระดับไหนขึ้นอยู่กับว่าการฟื้นตัวรอบนี้บิทคอยน์สามารถไปได้ไกลแค่ไหน
“หากรอบนี้บิทคอยน์ฟื้นตัวกลับมาได้แรงอาจจะไม่เห็นจุดต่ำสุดใหม่ที่ระดับต่ำกว่า 28,500 ดอลลาร์ แต่ถ้าฟื้นไม่ไกลโอกาสที่จะเห็จุดต่ำสุดใหม่ยังมี โดยขอให้ไม่หลุดระดับ 20,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดที่เกิดการ Breakout ครั้งใหญ่น่าจะทำให้เห็นราคาบิทคอยน์สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง ช่วงนี้จึงยังไม่ใช่เวลาที่จะใส่น้ำหนักการลงทุนแต่ควรลดพอร์ตเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับ 45,000 ดอลลาร์”
