ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า..บนโลกใบกลม ๆ ที่เรากำลังอาศัยกันอยู่นี้ ทุกอย่างถูกเชื่อโยงไว้ด้วยกันทั้งหมด และส่งผลกระทบถึงกันเสมอ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใด เกิดขึ้นที่ประเทศใด เกิดที่มุมใดของโลก ก็ย่อมส่งผมกระทบไปถึงประเทศที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งได้เสมอ นี่นับไปรวมไปถึงความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลก ก็เช่นกัน ทุกความเป็นไปที่เกิดขึ้นบนโลกส่งผลถึงเศรษฐกิจโลกย่อมส่งผลไปถึง จังหวะการเปลี่ยนแปลง ความผันผวน และทิศทางของค่าเงิน เป็นกลไกในการขับเคลื่อนที่สัมพันธ์กันอยู่เสมออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เป็นเรื่องที่นักลงทุนทราบกันดีอยู่แล้วถึงเรื่องกลไกเหล่านี้ ซึ่งค่าเงินก็คือ อัตราการแลกเปลี่ยนจากสกุลเงินของประเทศหนึ่งไปยังอีกสกุลเงินของอีกประเทศหนึ่ง ที่มีความผัวผวนอยู่ตลอดเวลา จากสาเหตุของกลไกทางเศรษฐกิจที่กล่าวไปแล้วในข้างต้น และความผันผวนของค่าเงินก็มีผลเป็นอย่างมากต่อนักลงทุนในการจะตัดสินใจลงทุน เป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจให้กระจ่าง เนื่องจากความเสี่ยงในการลงทุนมีผลมาจากความผันผวนของค่าเงินหรืออัตราการแลกเปลี่ยน เพื่อให้นักลงทุนได้บริหารและปกป้องความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินได้ทันถ่วงที
ค่าเงินเดี๋ยวอ่อน เดี๋ยวแข็ง มีปัจจัยอะไรที่ส่งผลถึงความผันผวนนี้
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความผันผวนของค่าเงินมีหลายปัจจัยด้วยกัน หลัก ๆ ก็เป็น ความเปลี่ยนแปลง ทิศทาง การเติบโตของเศรษฐกิจโลก อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน ราคาทองคำ ปริมาณความต้องการในการซื้อ-ขาย รวมไปถึงสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศเองก็มีผลถึงความผันผวนของค่าเงินได้เหมือนกัน
สมมติว่า : วันนี้มีสกุลเงินประเทศหนึ่งอยู่ นำไปแลกสกุลเงินอีกประเทศหนึ่ง ได้ในราคาเท่านี้
: แต่ในวันต่อมาใช้สกุลเงินประเทศเดิมที่มีอยู่ นำไปแลกสกุลเงินประเทศเดิมได้ในราคาที่ถูกลง
นั้นแปลว่าสกุลเงินที่มีอยู่นั้น ค่าเงิน ‘แข็งค่าขึ้น’
แต่ถ้ากลับกัน : วันนี้มีสกุลเงินประเทศหนึ่งอยู่ นำไปแลกสกุลเงินอีกประเทศหนึ่ง ได้ในราคาเท่านี้
: แต่ในวันต่อมาใช้สกุลเงินประเทศเดิมที่มีอยู่ นำไปแลกสกุลเงินประเทศเดิมได้ในราคาที่แพงขึ้น
นั้นแปลว่าสกุลเงินที่มีอยู่นั้น ค่าเงิน ‘อ่อนค่าลง’
‘ยิ่งประเทศใดมีเศรษฐกิจที่ดีกว่า แข็งแรงและมีทิศทางในการเติบโตมากกว่า ค่าเงินของประเทศนั้นก็จะมีเสถียรภาพ มีมูลค่ามากกว่า เมื่อนำไปแลกเปลี่ยนกับค่าเงินของประเทศอื่น ๆ’
ค่าเงินผันผวนไปในทิศทางใด ‘อ่อนค่าลง’ หรือ ‘แข็งค่าขึ้น’ จึงจะถูกใจนักลงทุน
ค่าเงิน ‘อ่อนตัวลง’ เมื่อซื้อได้ในราคาถูกลง ก็ต้องถูกใจนักลงทุนที่กำลังจะวางแผนซื้อหรือลงทุนแน่นอนอยู่แล้ว
ค่าเงิน ‘แข็งตัวขึ้น’ เมื่อขายได้ในราคาที่แพงขึ้น ก็ย่อมมีกำไร ก็ต้องถูกใจนักลงทุนที่กำลังวางแผนจะขายแน่นอนอยู่แล้ว
ไม่ว่าค่าเงินจะผันผวน เดี๋ยวอ่อน เดี๋ยวแข็ง ยังไง ถ้าหากความผันผวนยังคงเป็นไปในทิศทางที่ยังพอคาดเดาได้ ยังไงก็ต้องถูกใจนักลงทุนมากกว่าการที่ค่าเงินขยับผันผวนไปในทิศทางที่คาดเดาไม่ถึงอยู่แล้ว ที่สำคัญการสร้างความเข้าใจ และศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนซื้อ-ขาย ก็จะทำให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์ทิศทางการผันผวนของค่าเงินได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เป็นการสร้างความได้เปรียบทางการลงทุนตลอดจนการสร้างผลกำไรในการลงทุนได้เป็นอย่างดี ‘เรื่องเงินเรื่องทอง เรื่องการลงทุน จะมาอาศัยโชคช่วย หรือพึ่งดวงก็คงจะไม่ได้หรอก’