ภาวะวิกฤตของ COVID-19 กำลังนำพาไปสู่ยุคสมัยใหม่ของความไม่เสมอภาคจากอัตราเงินเฟ้อ ตามคำกล่าวเตือนของนักเศรษฐศาสตร์ที่ชี้ไปถึงครอบครัวชาวอเมริกันที่ยากจน ว่าจะเป็นผู้แบกรับแรงกดดันจากราคาที่สูงขึ้น
เนื่องจากหมวดหมู่ของสินค้าที่ราคาสูงขึ้นจะกลายเป็นภาระที่ยากจะหลีกเลี่ยงสำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากราคาอาหารที่สูงขึ้น 6.4% จากเมื่อปีก่อนและราคาเชื้อเพลิงที่ทะยานขึ้น 58% ในขณะที่โครงการสนับสนุนจากภาครัฐได้ผ่านพ้นไป
ผลประเมินล่าสุดจากแบบจำลอง Penn Wharton Budget Model ของ University of Pennsylvania พบว่า ครอบครัวที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลางมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 7% สำหรับสิ่งของเดียวกับที่พวกเขาเคยซื้อหาในช่วง 2 ปีก่อน
แต่สำหรับครอบครัวที่มีรายได้สูงจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเพียง 6% ซึ่งความแตกต่างนี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงภาวะเงินเฟ้อ โดยนับจากหนสุดท้ายที่ราคาปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงยุคปี 1980 ครอบครัวที่ร่ำรวยได้สับเปลี่ยนสัดส่วนการใช้จ่ายจากสินค้ามายังการบริการมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น ราคาอาหารในปี 2020 คิดเป็นสัดส่วนเพียง 12.7% สำหรับค่าใช้จ่ายของครอบครัวที่มีรายได้สูงในกลุ่ม 5% ของระดับท็อป โดยเปรียบเทียบกับสัดส่วนที่มากถึง 16% สำหรับค่าใช้จ่ายของครอบครัวที่มีรายได้ต่ำในกลุ่ม 20% ล่างสุด
ในขณะเดียวกันปัญหาการติดขัดของกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับภาวะวิกฤตของโรคระบาด ยังเป็นแรงผลักดันให้กับต้นทุนของสินค้าโภคภัณฑ์ที่บรรดาครอบครัวยากจนต้องพึ่งพาอาศัยเป็นส่วนใหญ่
จากผลการวิจัยในช่วงเริ่มต้นการระบาดของ COVID-19 โดยนักเศรษฐศาสตร์จาก Harvard Business School ยังแสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคที่มีรายได้ต่ำจะเผชิญกับปัญหาจากราคาที่สูงขึ้นราวเท่าตัวเมื่อเทียบผู้ที่มีรายได้สูง
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกำลังกังวลถึงปัญหาความยากจนในสหรัฐฯที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2022 จากความช่วยเหลือของภาครัฐที่หมดไป และแผนงบประมาณเพื่อสังคมของปธน. โจ ไบเดน ที่ยังดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอยู่ในสภาคองเกรส
โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับการสิ้นสุดของโครงการคืนภาษีบุตรที่ช่วยจัดสรรเงินช่วยเหลือให้กับครอบครัว $300 ต่อเดือน สำหรับเด็กแต่ละคนที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี และ $250 สำหรับเด็กที่มีอายุเกินกว่านั้น
อย่างไรก็ตามประเด็นที่พรรครีพับลิกันกังวลกลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม โดยพวกเขามองว่ายิ่งมีการใช้จ่ายเงินจากรัฐบาลกลางออกไปมากเท่าใด ก็จะยิ่งนำพาไปสู่อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเท่านั้น และจะกลายเป็นภาระที่ใหญ่ขึ้นสำหรับผู้ที่ยากจน
จากข้อถกเถียงดังกล่าวได้นำไปสู่ความเคลื่อนไหวของ โจ มานชิน สว.ฝ่ายเดโมแครตจากรัฐเวสต์เวอร์จิเนียที่ออกมาขัดขวางนโยบายของพรรคตนเอง ซึ่งหากปราศจากเสียงโหวตของเขาในวุฒิสภาก็จะทำให้พรรคเดโมแครตไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายนี้ไปได้
แต่อาจยังมีข่าวดีอยู่เรื่องหนึ่งสำหรับกลุ่มแรงงานค่าแรงต่ำ เมื่อมีคนบางส่วนได้รับการขยับค่าจ้างขึ้นมากที่สุดระหว่างยุค COVID-19 ซึ่งจากรายงานของเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาพบว่า ค่าเฉลี่ยอัตราการเติบโตของค่าแรงขยับขึ้นสูงกว่า 5% สำหรับแรงงานที่มีรายได้อยู่ในกลุ่ม 25% ล่าง
References :
https://www.cnbc.com/2021/12/29/economists-warn-of-inflation-inequality-in-2022.html