มีรัฐบาลเพียงไม่กี่ประเทศที่เจียดงบในการฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อตอบสนองไปกับนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จนทำให้ทางทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดการณ์ว่าปริมาณการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกจะสร้างสถิติใหม่ในปี 2023
จากรายงานของ IEA ที่เผยแพร่เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้รัฐบาลทั่วโลกจัดสรรงบราว $3.8 แสนล้านสำหรับมาตรการที่เกี่ยวกับพลังงานยั่งยืน โดยคิดเป็นสัดส่วนเพียง 2% จากงบประมาณทั้งหมด
ทาง IEA กล่าวสรุปถึงส่วนนี้ไว้ว่า ยอดเงินโดยรวมจากทั้งภาครัฐบาลและเอกชนที่ถูกใช้ไปในการขับเคลื่อนแผนการฟื้นฟูทั่วโลก ยังคงตกหล่นในส่วนที่จำเป็นสำหรับการไปให้ถึงเป้าหมายระหว่างประเทศของการควบคุมปัญหาภาวะโลกร้อน
และด้วยแนวโน้มในปัจจุบัน ปริมาณการปล่อยแก๊สเรือนกระจกกำลังอยู่บนเส้นทางที่จะขยับขึ้นไปสร้างสถิติใหม่ในปี 2023 และอาจเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีถัด ๆ ไป จนไม่สามารถคาดการณ์ถึงจุดพีคได้อย่างชัดเจน
บทวิเคราะห์และมุมมองจาก IEA ตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อมูลของโครงการ Sustainable Recovery Tracker ซึ่งถูกเปิดตัวขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อใช้เฝ้าติดตามยอดการใช้จ่ายของรัฐบาลต่าง ๆ ในส่วนของการพัฒนาโครงการสิ่งแวดล้อม
ฟาติห์ บิรอล กรรมการบริหารของ IEA ได้กล่าวไว้ว่า นับจากภาวะวิกฤตของ COVID-19 อุบัติขึ้น รัฐบาลหลายแห่งได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับความสำคัญของการสร้างอนาคตสำหรับพลังงานสะอาด แต่ยังมีเพียงไม่กี่รัฐบาลที่ลงทุนไปตามที่ได้กล่าวไว้
บิรอล ย้ำว่าการลงทุนเพิ่มเพื่อลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 เป็นที่สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เมื่อมองไปถึงเป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 °C เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรมตามความตกลงปารีสในปี 2015
การเผยแพร่ข้อมูลใหม่จาก IEA เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาเปิดเผยรายงานเรื่องความต้องการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก ว่าจะมีแนวโน้มที่สูงขึ้นทั้งในปีนี้และปีถัดไป หลังมีอัตราที่ลดลงประมาณ 1% ในช่วงปี 2020
จากผลคาดการณ์ในรายงาน Electricity Market Report ที่เผยแพร่ในสัปดาห์ก่อนเช่นกันระบุว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าทั่วโลกจะสูงขึ้นเกือบ 5% ในปี 2021 และ 4% ในปี 2022 จากเศรษฐกิจทั่วโลกที่พยายามฟื้นตัวจากผลกระทบที่มาจากปัญหาโรคระบาด
ในรายงานยังระบุว่า แม้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจะมีอัตราการเติบโตอย่างเข้มแข็ง แต่ก็ยังไม่น่าจะเพียงกับความต้องการที่สูงขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถรองรับได้ประมาณครึ่งหนึ่งจากแนวโน้มของความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งในปี 2021 และ 2022
ในมุมกลับกันบริษัทพลังงานหลายแห่งยังคงเสาะแสวงหาบ่อน้ำมันแห่งใหม่ โดยในสหรัฐฯก็ยังคงเป็นประเทศหนึ่งที่ต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า และในอีกหลายประเทศที่ยังคงต้องพึ่งพาถ่านหิน
จากรายงานล่าสุดของ IEA ยังคาดการณ์ว่า การผลิตไฟฟ้าโดยถ่านหินทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 5% ในปี 2021 และอีก 3% ในปี 2022 ซึ่งจะทำให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าโดยถ่านหินก้าวข้ามระดับก่อนเกิดภาวะวิกฤตในปีนี้ และสร้างสถิติสูงสุดขึ้นมาใหม่ในปีหน้า
References :
https://www.cnbc.com/2021/07/20/co2-emissions-will-hit-record-levels-in-2023-iea-says.html