ตั้งแต่ทศวรรษที่ 19 ได้เกิด“ยุคแรกแห่งโลกาภิวัตน์”ขึ้น หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ถูกกำหนดให้เป็นตัวขับเครื่องของเศรษฐกิจโลกไปโดยปริยาย โลกาภิวัตน์ เป็นคำศัพท์เฉพาะที่บัญญัติขึ้นมาเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ การเชื่อมโยงของเศรษฐกิจโลก ที่เข้ากับเหตุการณ์ ทิศทางเศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม ที่ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น ข้อมูลข่าวสารไร้พรมแดนก็จะถูกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วตามส่วนต่าง ๆ ของทั่วทุกมุมโลก และส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจโลกเป็นวงกว้างด้วยเหมือนกัน หลายประเทศในโลกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศของตนไปตามกระแสโลกาภิวัตน์ ในบางประเทศ โลกาภิวัตน์ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการเร่งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ จะว่าไป โลกาภิวัตน์ก็มีหน้าที่เหมือนเป็นคลื่นที่เคลื่อนตัวไปตามจังหวะ โดยมีปัจจัยต่าง ๆ เป็นตัวกระตุ้นให้ขับเคลื่อนไปได้อย่างเรื่อย ๆ
“เนื่องจากปริมาณการซื้อขาย การส่งออก ของทั่วโลกเกิดการชะลอตัวลง รวมไปถึงข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างบางประเทศ และขององค์กรการค้าโลกเองที่ยังไม่ได้ข้อสรุปจนถึงขณะนี้ ทำให้เศรษฐกิจโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้ยุคโลกาภิวัตน์ได้เกิดการชะลอตัวลง เห็นได้ชัดจากอัตราการเติบโตของ GDP โลก จากเดิม ในปี 2017 อยู่ที่ 3.8% จากนั้นก็เริ่มชะลอตัวลงเหลือ 3.6% ในปี 2018 และตกลงไปอีกในปี 2019 อยู่ที่ 3.0 % แม้ในปีนี้อัตราการเติบโตของ GDP โลก จะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 3.4% แต่ก็เป็นเพียงการเดินหน้าไปอย่างช้า ๆ มาเป็นระยะเวลาประมาณหนึ่งอยู่แล้ว และมีแนวโน้มจะเข้าสู่การเคลื่อนที่ที่ช้ามากกว่าเดิม เปรียบเหมือนกับการเดินของหอยทาก เป็นผลมาจากสถานการณ์โรคระบาด ความไม่มั่นคงภายในประเทศ การทำสงครามการค้าของบางประเทศ ที่ดูจะไม่มีการอ่อนข้อให้กันเลย”
ยกตัวอย่าง การชะลอตัวลงก็อัตราการเติบโตของ GDP ของประเทศมหาอำนาจอย่าง
: ประเทศสหรัฐอเมริกา จากในปี 2018 การเติบโตของ GDP อยู่ที่ 2.9%
จากนั้นในปี 2019 ตกลงมาอยู่ที่ 2.4% และตกลงมาอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ที่ 2.1%
: ประเทศจีน จากในปี 2018 การเติบโตของ GDP อยู่ที่ 6.6% จากนั้นในปี 2019
ตกลงมาอยู่ที่ 6.1% และตกลงมาอย่างต่อเนื่องในปีนี้ที่ 5.8%
ปี 2020 นี้ เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ “ภาวะชะลอตัวของโลกาภิวัตน์” อย่างเต็มตัว
และในปีนี้เองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกก็ยังคงไม่มีการคลี่คลายแต่อย่างใด ซ้ำยังเกิดโรคระบาดที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อการค้า และการลงทุนทั่วโลกที่จะคงดำเนินไปในทิศทางที่ชะลอตัวของเศรษฐกิจลงอย่างมหาศาล จึงเป็นเรื่องที่กระจ่างชัดเจนแล้วว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับ ภาวะชะลอตัวของโลกาภิวัตน์อย่างเต็มตัวและเต็มรูปแบบ เห็นได้ชัดจากค่าเฉลี่ยการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ต่ำลงกว่าปีที่แล้วมาก และยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติได้ในเร็ววัน ซึ่งปีที่ผ่านมาว่าหนักแล้ว ปีนี้ยังมีแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกจะทรุดตัวลงได้อีก หรือโลกาภิวัตน์กำลังจะนำมาซึ่งความไร้เสถียรภาพของเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา หรือนี่…คือความท้าทายบทใหม่ที่ยังคงรอคอยการแก้ไขอย่างเร่งด่วนอยู่
เมื่อหลากหลายวิกฤตที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ภาวะชะลอของตัวของยุคโลกาภิวัตน์จะชักนำเศรษฐกิจโลก ไปสู่เศรษฐกิจโลกรูปแบบใหม่ จากเดิมทีที่มีการขยับขยายฐานการค้าไปได้ทั่วโลก มีการแบ่งปันทรัพยากรภายในประเทศไปสู่ประเทศต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง ก็จะเปลี่ยนไปเป็นการเชื่อมโยงการค้ากันแค่ระหว่างอาณาบริเวณประเทศที่ใกล้เคียงกันเท่านั้น นานาประเทศจะหันมาพึ่งพาตัวเองกันมากกว่าที่เคยเป็น สุ่มเสี่ยงที่จะชักนำการชะลอตัวของยุคโลกาภิวัตน์ ไปสู่กำแพงภาษีที่อาจจะสูงขึ้น การค้าที่ชะงักงันลง ในในทางที่แย่ที่สุดคือผลสุดท้ายอาจจะนำไปสู่กันล่มสลายของยุคโลกาภิวัตน์ได้